PSH ลั่นโค้งสุดท้ายดีสุดรอบปีนี้ลุ้นยอดโอนอสังหาฯโตสองเท่า

08 พ.ย. 2565 272 0

          PSH คาดทิศทางตลาดอสังหาฯ ไตรมาส 4/65 คึกคัก! หนุนผลงานโค้งสุดท้ายดีสุดของปีนี้ ลุ้นยอดโอนโต 2 เท่าตัว จากไตรมาสปกติ อานิสงส์ทยอยรับรายได้โอนจากแบ็กล็อกที่มีกว่า 1 หมื่นล้านบาท ส่วนกรณีธปท.ยกเลิกมาตรการการผ่อนคลาย LTV เชื่อกระทบตลาดอสังหาฯ ราว 50% ขณะที่การให้สิทธิ์ต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาฯ ในไทยมองเป็นผลบวกทำให้มีโอกาสขายอสังหาฯ เพิ่มขึ้น

          นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ในเครือบริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH เปิดเผยว่า ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 4/2565 น่าจะคึกคักมาก โดยเฉพาะโครงการประเภทแนวราบในระดับกลางบนมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง หลังจากมีการเปิดประเทศ การปลดล็อกมาตรการต่าง ๆ ทำให้สามารถทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นและกำลังซื้อฟื้นตัวกลับมา โดยบ้านยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง หากความเชื่อมันและกำลังซื้อกลับมาจะมีการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นด้วย

          ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4/2565 คาดว่าจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี 2565 ซึ่งยอดโอนกรรมสิทธิ์จะเติบโตประมาณ 2 เท่าตัวจากไตรมาสปกติ โดยหลัก ๆ ในช่วงไตรมาส 4/2565 บริษัทจะเน้นการโอนกรรมสิทธิ์โครงการพร้อมอยู่ (Ready to Move) เป็นหลัก ประกอบกับการส่งมอบคอนโดมิเนียมใหม่ และคอนโดมิเนียมที่ส่งมอบต่อเนื่องจากไตรมาส 3/2565 รวมจำนวน 7 โครงการ ซึ่งมียอดขายรอโอน (Backlog) จากทั้ง 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท จะทยอยรับรู้อย่างต่อเนื่อง

          ส่วนกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะไม่ต่อมาตรการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ที่จะหมดอายุในวันที่ 31 ธันวาคมนี้นั้น มองว่าจะกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มระดับกลาง-ล่าง เนื่องจากจะเป็นการทำให้กำลังซื้อของลูกค้าในตลาดกลุ่มดังกล่าวลดลง

          ทั้งนี้ ปัจจุบันตลาดอสังหาริมทรัพย์มีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 300,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นตลาดในระดับล่าง สินค้าราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท มีสัดส่วนประมาณ 30-40% ของตลาดรวม ขณะที่สัดส่วนของตลาดในกลุ่มกลาง สินค้าราคา 3-10 ล้านบาท มีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 40% ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 30% เป็นตลาดบน ซึ่งในตลาดนี้จะไม่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกมาตรการผ่อนคลายมาตรการ LTV อย่างไรก็ตาม การยกเลิกมาตรการผ่อนคลายมาตรการ LTV จะมีผลกระทบกับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 50%

          นอกจากนี้ กรณีครม.อนุมัติให้ต่างชาติที่มีรายได้สูง 4 กลุ่ม มีจำนวนเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท ในกิจการหรือซื้อพันธบัตรรัฐบาลไทย กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น จะได้สิทธิวีซ่าพำนักระยะยาว หรือ LTR Visa 10 ปี และจะได้สิทธิขอถือครองที่ดิน เพื่ออยู่อาศัยไม่เกิน 1 ไร่ (400 ตารางวา) ภายในเขตกรุงเทพมหานคร เขตเมืองพัทยา เขตเทศบาล หรืออยู่ภายในบริเวณที่กำหนดเป็นเขตที่อยู่อาศัยตามกฎหมายว่าด้วยการผังเมืองนั่น ถือเป็นมาตรการที่ดีในการดึงเม็ดเงินจากต่างชาติเข้ามาในประเทศไทย ขณะเดียวกันยังถือเป็นโอกาสในการขายอสังหาริมทรัพย์ได้เพิ่มขึ้นด้วย

 

ที่มา: