NOBLE ลูกค้าต่างชาติแน่น จ่อโอนแบ็กล็อก 6 พันล้าน

28 ต.ค. 2565 252 0

NOBLE ปลื้มรัฐบาล เปิดโอกาสต่างชาติซื้อแนวราบ เพิ่มกำลังซื้อใหม่เข้าสู่ภาคอสังหาริมทรัพย์ เดินหน้าเปิดโครงการใหม่ต่อเนื่อง ทั้ง แนวราบและคอนโด โกยยอดขายเติม แบ็กล็อกเพิ่มจากปัจจุบันมีอยู่กว่า 2.1 หมื่นล้านบาท จ่อโอนปีนี้ 6 พันล้านบาท คงกลยุทธ์เชิงรุกผนึกพันธมิตรทั้งใน-ต่างประเทศสามารถต่อยอดธุรกิจ เสริมแกร่งการเติบโต เล็งขยายสู่ต่างจังหวัด

นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธาน กรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE เปิดเผยว่า การที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการและเห็นชอบร่างกฎกระทรวง (มหาดไทย) อนุญาตให้ชาวต่างชาติที่มีรายได้สูง สามารถซื้อบ้าน และที่ดินเพื่ออยู่อาศัยได้ไม่เกิน 1 ไร่ และสามารถโอนสิทธิ์ให้ลูกหลานได้ แต่ห้ามขายเก็งกำไร โดยต้องลงทุนในไทย เกิน 40 ล้านบาทในระยะเวลา 3 ปี จากเดิมที่จะกำหนดให้ลงทุนไว้เป็นระยะเวลา 5 ปี ว่า  ถือเป็นการเปิดโอกาสให้มีเม็ดเงินใหม่เข้ามาหมุนเวียนในอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายในประเทศไทย และถือเป็นการเพิ่มความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบให้สามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน บริษัทได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติโดยเฉพาะเมียนมา, จีน, ฮ่องกง, สิงคโปร์, รวมถึงยุโรปอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมาบริษัททยอยเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 9 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 23,100 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยมียอดขายเฉลี่ยกว่า 50% แล้ว

จ่อโอน 6 พันล้าน

ขณะเดียวกันบริษัทยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มอย่างต่อเนื่อง ทั้งคอนโดมิเนียม และบ้านเดี่ยวเพื่อการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคตด้วยเบื้องต้นยังคงเป้ายอดขายทั้งปี 2565 แตะ 28,000 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขาย รอโอน (Backlog) ณ งวด 7 เดือนแรก ของปี 2565 ที่ระดับ 21,000 ล้านบาท เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถโอนกรรมสิทธิ์ ภายในปีนี้กว่า 6,000 ล้านบาท

“จีนและฮ่องกงมีความต้องการย้ายที่อยู่สูงมาก ทั้งเพื่อการศึกษาและการลงทุน ดังนั้นการที่รัฐบาลมีมาตรการสนับสนุนให้ชาวต่างชาติกลุ่ม Wealth เข้ามา ถือเป็นปัจจัยหนุนให้เศรษฐกิจในประเทศสามารถเติบโตได้ในระยะกลาง-ยาว ส่วนการเข้ามาซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบ จากเดิมที่ต่างชาติถือครองได้แต่คอนโดมิเนียม ถือเป็นปัจจัยหนุนภาคอสังหาริมทรัพย์รวมถึงธุรกิจของบริษัทด้วย”

จากปัจจัยเชิงบวกข้างต้นบริษัทจะ ยังคงกลยุทธ์เชิงรุกทางธุรกิจต่อเนื่องในปี 2566 ทั้งแผนการเปิดโครงการใหม่ ของบริษัท และการร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างบริษัท ธนูลักษณ์ จำกัด (มหาชน) หรือ TNL บริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS และ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPI ภายใต้เครือสหพัฒน์ ทั้งโครงการคอนโดมิเนียมแนวสถานีรถไฟฟ้า, รวมถึงโครงการแนวราบซึ่งจะยังคงจุดแข็งด้านการคัดเลือกทำเลศักยภาพทุกทิศของกรุงเทพฯ เช่น ถนนเอกมัยรามอินทรา, ดอนเมือง, ถนนศรีนครินทร์, ถนนกรุงเทพกรีฑา, ถนนราษฎร์บูรณะ, ถนนสุขสวัสดิ์, ถนนราชพฤกษ์, รวมถึง ทำเลกลางใจกลางเมือง อาทิ ถนนเพลินจิต เป็นต้น

รุกตลาดต่างจังหวัด

พร้อมกันนี้บริษัทอยู่ระหว่างศึกษา เตรียมความพร้อมขยายฐานธุรกิจออก สู่ทำเลศักยภาพในจังหวัดที่เป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างประเทศ รวมถึงทำเลที่มีโรงเรียนนานาชาติชั้นนำ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

สำหรับการลงทุนในสหราชอาณาจักร นั้น บริษัทสามารถขายสินทรัพย์บางส่วน ได้ในราคาเหมาะสมตั้งแต่ช่วงไตรมาส 1/2565 และได้ชะลอการลงทุนซื้อสินทรัพย์ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2/2565 สำหรับอาคารที่ยังถือครองอยู่ บริษัทสามารถเก็บค่าเช่าได้อย่างต่อเนื่อง

“บริษัทมีจุดแข็งทางธุรกิจไม่ว่า จะเป็นการมีเครือข่าย และลูกค้าใน ต่างประเทศที่แข็งแกร่ง เป็นปัจจัยหนุนให้บริษัทสามารถมองหาโอกาสการลงทุนทางธุรกิจในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ”

 

ที่มา: