LPNจ่อเปิด4โครงการ5.4พันล้าน หนุนยอดขายปีนี้มาตามนัด 1.3 หมื่นล้าน

28 ต.ค. 2565 260 0

“แอลพีเอ็น” รุกหนักไตรมาสสุดท้าย เตรียมเปิดโครงการใหม่ภายใต้แบรนด์ 168 จำนวน 4 โครงการ มูลค่ากว่า 5,400 ล้านบาท หนุนยอดขายปีนี้เป็นไปตามแผน 13,000 ล้านบาท

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN เปิดเผยว่า แผนธุรกิจในช่วงไตรมาส 4/2565 ซึ่งเป็นไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 4 โครงการ มูลค่ากว่า 5,400 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่ารวม 3,000 ล้านบาท และโครงการบ้านพักอาศัย 2 โครงการ มูลค่ารวม 2,400 ล้านบาท หนุนยอดขายปี 2565 เป็นไปตามเป้าหมาย 13,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ แม้เศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 จะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวหรืออาจถึงขั้นถดถอย (Recession)  ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากสถานการณ์วิกฤติซ้อนวิกฤติ ทั้งจากการแพร่ระบาดที่ยาวนานของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) และสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังคงต่อเนื่อง ทำให้ระดับราคาพลังงาน ราคาสินค้า และอัตราเงินเฟ้อทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม

“ถึงแม้แนวโน้มเศรษฐกิจจะเติบโตต่ำกว่าที่คาดไว้ ซึ่งเป็นผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ แต่ยอดขายในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 LPN ยังคงสามารถรักษาอัตราการเติบโตของยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายรวมถึง 6,800 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นประมาณ 8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564 โดยแบ่งเป็นสัดส่วนยอดขายโครงการคอนโดมิเนียม 4,800 ล้านบาท คิดเป็น 70% ของยอดขายรวม และโครงการบ้านพักอาศัย 2,000 ล้านบาท คิดเป็น 30% ของยอดขายรวม ซึ่งสะท้อนถึงกำลังซื้อในตลาดที่ยังคงเติบโต และความเชื่อมั่นของลูกค้าในศักยภาพการพัฒนาโครงการของ LPN ทำให้บริษัทยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ได้ตามแผนที่วางไว้” นายโอภาส กล่าว

ทั้งนี้ในปี 2565 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 9 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท โครงการบ้านพักอาศัย 3 โครงการ มูลค่ารวม 3,000 ล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 มีการเปิดตัวโครงการใหม่ 5 โครงการ มูลค่ารวม 7,600 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการเพลส 168 ปิ่นเกล้า, โครงการลุมพินี เพลส แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด สเตชั่น, โครงการลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต-คลอง 1 เฟส 3, โครงการลุมพินี วิลล์ จรัญ–ไฟฉาย (เฟสใหม่) และโครงการเวนู 168 ราชพฤกษ์ 1

โดยทำให้บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ารวม 2,100 ล้านบาท ที่จะรับรู้เป็นรายได้ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 ต่อเนื่องไปถึงปี 2566-2567 แบ่งเป็นส่วนของคอนโดมิเนียม 1,400 ล้านบาท และส่วนของบ้านพักอาศัย 700 ล้านบาท และมีสินค้าพร้อมขายทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านพักอาศัยมูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งจะสร้างรายได้ต่อเนื่องให้กับบริษัทในปี 2566-2568

ส่วน 4 โครงการที่จะเปิดตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 ประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่ารวมถึง 3,000 ล้านบาท ได้แก่ วิลล์ 168 บางหว้า (Ville 168 Bang Wa) มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท โดยออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “Make Your Living in Colors” โดดเด่นด้วยพื้นที่ส่วนกลางที่ตอบโจทย์ทั้งสายแอคทีฟ และสายชิล ร่มรื่นด้วยสวนสีเขียวรอบโครงการ บนถนนเพชรเกษม เดินทางสะดวกใกล้สถานีอินเตอร์เชนจ์ BTS-MRT บางหว้า เพียง 800 เมตร ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.53 ล้านบาท ซึ่งพร้อมเปิดจองแล้ววันนี้ และพาร์ค 168 อ่อนนุช 19 (Park 168 OnNut 19) ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Let’s take a breath” เน้นการออกแบบโครงการให้มีความร่มรื่นกลิ่นอายสไตล์ญี่ปุ่น ให้เป็นพื้นที่ความสุขให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย ด้วยมูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท ทั้งยังเตรียมเปิดขายโครงการที่พักอาศัยในรูปแบบทาวน์โฮม 2 โครงการ มูลค่ารวม 2,400 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ เวนู 168 เวสต์เกต (Venue 168 Westgate) ใกล้เซ็นทรัล เวสต์เกต และโครงการ เวนู 168 คูคต สเตชั่น (Venue 168 Khukhot Station) ใกล้กับสถานีบีทีเอสคูคต ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.29 ล้านบาท โดยพร้อมเปิดขายเร็ว ๆ นี้

นายโอภาส กล่าวต่อว่า แนวโน้มของตลาดอสังหาฯ ในช่วงไตรมาส 4/2565 แม้สถานการณ์เศรษฐกิจจะมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบทั้งจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงเกิน 5% โดยมีผลกระทบจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น การปรับเพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำที่ 5-8% ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา ทำให้ต้นทุนค่าก่อสร้างมีการขยับตัวเพิ่มขึ้นในสัดส่วนประมาณ 3-5% อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง และภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นแตะ 90% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งอาจทำให้มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงประมาณ 30-40% แต่ความต้องการที่อยู่อาศัยในตลาดยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความต้องการซื้อสูง คิดเป็นสัดส่วนไม่น้อยกว่า 70% ของกำลังซื้อในตลาดโดยรวม ซึ่งนับเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายสำคัญของ LPN ที่จะขับเคลื่อนยอดขายให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ Turnaround ในปี 2565-2569 ที่ตั้งเป้ายอดขายรวม 5 ปี (2565-2569) ไม่น้อยกว่า 50,000 ล้านบาท

 

ที่มา: