LALIN จ่อเปิดโครงการใหม่ รับอสังหาฟื้นดันยอดขายโต 

08 ก.ย. 2566 244 0

          นายเสรี สินธุอัสว์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN เปิดเผยว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2566 บริษัทมีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติมอีกจำนวน 1-2 โครงการ คาดว่าจะเปิดโครงการแรกได้ภายในช่วงไตรมาสที่ 3/2566 นี้ มูลค่า 550 ล้านบาท

          โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทได้เปิดโครงการไปแล้วทั้งหมด 8 โครงการ มูลค่า รวมประมาณ 7,800 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นโครงการ ทาวน์โฮม 3 โครงการ มูลค่า 2,500 ล้านบาท และ โครงการบ้านเดี่ยว 3 โครงการ มูลค่า 2,950 ล้านบาท รวมถึงโครงการมิกซ์ยูส (Mixed-Use) ที่รวมทั้ง โครงการทาวน์โฮมบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด อีกจำนวน 2 โครงการมูลค่า 2,350 ล้านบาท

          ยอดขายตามเป้า

          บริษัทคงเป้ายอดขายปี 2566 ไว้ที่ 8,600 ล้านบาท และยอดโอน 6,850 ล้านบาท โดยคาดว่า ยอดขายในช่วงไตรมาสที่ 3/2566 มีสัญญาณการเติบโตที่ดีเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก โดยเห็นได้ จากสัญญาณการเติบโตในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา และในช่วงที่เหลือของปีอีกจำนวน 4 เดือนสุดท้าย บริษัทคาดว่าหลังจากที่ประเทศมีความชัดเจนทางการเมืองสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ต่างๆ เช่นภาคการท่องเที่ยว และ ยังประกอบกับภาคการเกษตรต่างๆ ที่จะเป็นปัจจัยบวกโดยรวมของภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ได้

         สำหรับยอด Backlog ณ สิ้นไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 1,200 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรก เนื่องจากมีโครงการบางส่วนของบริษัทที่มีการก่อสร้าง ทำให้การรับรู้รายได้เลื่อนออกไป โดยคาดว่าจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ไปตั้งแต่ไตรมาสที่ 3/2566 ไปถึงต้นปี 2567

          ขณะที่ตัวเลขอัตราการปฏิเสธสินเชื่อในปี 2566 ก็ถือว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่าน หากนับรวมจากยอดขายทั้งหมดของบริษัท ปัจจุบันอยู่ที่ระดับเกิน 30%

          สต๊อกรอขาย 1.1 หมื่นล.

          ณ สิ้นไตรมาส 2/2565 บริษัทมีเงินสดสำรองจำนวน 269.5 ล้านบาท และมีสินค้ารอขาย (Inventory) จำนวน 11,814.7 ล้านบาท และมีที่ดินเปล่า เพื่อรอการพัฒนาโครงการในอนาคตอีก 2,831.4 ล้านบาท ซึ่งทำให้บริษัทมีสินทรัพย์ทั้งหมดรวม 15,433.9 ล้านบาท

          ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/2565 ของบริษัทมีเพียง 0.70 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.45 เท่า จึงเป็นที่ยอมรับในกลุ่มของสถาบันการเงิน ซึ่งการออกหุ้นกู้ของบริษัท จึงได้รับการตอบรับที่ดีมาโดยตลอด และล่าสุดบริษัทได้ออกหุ้นกู้ 1 ชุด มูลค่า 500 ล้านบาท

 

 

ที่มา: