LALIN กางแผนครึ่งแรก เปิด 6 โครงการ 4 พันล้าน

09 ก.พ. 2567 218 0

 

             

         

           นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนมกราคม 2567 บริษัทได้มีการออกขายหุ้นกู้อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.80% ซึ่งได้รับการตอบรับจากสถาบันเข้าลงทุนเต็มจำนวนที่ 500 ล้านบาท ในขณะที่เดือนกุมภาพันธ์ 2567 บริษัทมีหุ้นกู้ครบกำหนดชำระมูลค่า 200 ล้านบาท และมีหุ้นกู้อีก 2 ชุดจะครบกำหนดชำระในปีนี้ มูลค่ารวม 850 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทมีความมั่นใจว่าจะชำระหุ้นกู้ได้ครบ และเตรียมจะออกหุ้นกู้เพิ่มเติมอีก ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าตลาด ทั้งนี้บริษัทมี Project Loan ที่ยังไม่ได้เบิกอีกราว 2,000 ล้านบาท

           ด้านสถานะทางการเงินบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.76 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ 1.45 เท่า ค่อนข้างมาก บริษัทมีการใช้แหล่งเงินทุนที่หลากหลาย และการบริหารความเสี่ยงทางการเงินอย่างรัดกุมมาโดยตลอด จึงได้รับความเชื่อมั่นจากสถาบันการเงิน ทั้งธนาคารพาณิชย์ และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ต่างๆ จึงไม่ประสบปัญหาในเรื่องของแหล่งเงินทุน

            เปิด 6 โครงการครึ่งปีแรก

           โดยแผนการขยายโครงการในปี 2567 บริษัทมีแผนเปิดโครงการเพิ่มเติมที่ 8-12 โครงการ มูลค่ารวม 7,000-8,000 ล้านบาท และวางงบในการซื้อที่ดินไว้ที่ 1,500 ล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดว่าจะเปิดโครงการในช่วงครึ่งปีแรก 6 โครงการ มูลค่าประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท เพื่อประเมินความเสี่ยง และปัจจัยโดยรวมของเศรษฐกิจไทยที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งสถานการณ์ในประเทศและต่างประเทศ

            ประกอบกับมีการปรับกลยุทธ์การเปิดโครงการเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง โดยบริษัทจะเปิดตัวโครงการที่มีขนาดเล็กๆ ลงจากเดิมขนาด 40-50 ไร่ เหลือเพียง 10-20 ไร่ เพื่อให้ใช้เงินลงทุนน้อยลง และสามารถปิดการขายได้เร็วขึ้น เป็นการบริหารความเสี่ยง และเสริมสภาพคล่องทางการเงิน นอกจากนี้มีแผนจะขยายโครงการไปในทำเลใหม่ๆ มากขึ้น

              อัตราดอกเบี้ยเริ่มนิ่ง

             โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 2567 ไว้ที่ 6,550 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 5,250 ล้านบาท โดยประเมินภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 นี้ ยังคงมีปัจจัยบวก ไม่ว่าจะเป็นการที่อัตราดอกเบี้ยเริ่มนิ่ง และมีแนวโน้มที่จะปรับลดลงได้ในช่วงครึ่งหลังของปี จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจ ซื้อที่อยู่อาศัย การต่ออายุมาตรการ ภาครัฐ ลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าธรรมเนียมจำนอง สำหรับที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ไปถึงสิ้นปี 2567 การส่งออก และการท่องเที่ยวที่น่าจะดีขึ้น รวมถึงการเข้ามาลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น จะช่วยให้เกิดการจ้างงาน และเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ

              ทั้งนี้บริษัทยังคงเชื่อมั่นว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะตลาด Real Demand ยังคงไปได้ โดยบริษัทจะเน้นการดำเนินธุรกิจ และการขยายธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ในตลาดที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ และเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นอย่างดี

               ชูกลยุทธ์การทำตลาด

              ขณะกลยุทธ์การทำตลาดในปี 2567 บริษัทยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าโดยยึดหลัก Customer Centric ผ่านกลยุทธ์ทั้ง Lifestyle Marketing และ Experience Marketing เสริมประสิทธิภาพด้วยการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ โดยการทำ Brand collaboration เพื่อเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ และทำการตลาดผ่านช่องทาง Digital ในช่องทางใหม่ให้หลากหลายมากขึ้น มีการนำ Big Data มาใช้ในการวิเคราะห์หา Customer Insights

            ทั้งนี้บริษัทยังคงมุ่งสู่การเป็นองค์กรพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่บริหารงานภายใต้แนวคิด Agile Principles โดยใช้กลยุทธ์ด้านดิจิทัลเป็นเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนแปลง (Digital transformation) และให้ความสำคัญกับตลาดที่อยู่อาศัยในกลุ่มที่เป็น Real Demand บนทำเลศักยภาพ ในราคาที่คุ้มค่า และจับต้องได้ เพื่อให้สินค้าและบริการสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้อยู่เสมอ

 

ที่มา: