DOHOME เล็งครึ่งปีหลัง 64 ล็อกดาวน์ไม่กระทบยอด
DOHOME เผยล็อกดาวน์ไม่กระทบยอดขายครึ่งปีหลัง 2564 ชี้ร้านค้าวัสดุก่อสร้างได้รับการละเว้น ย้ำทุกสาขายังเปิดให้บริการได้ตามปกติ ชูยอดขายหลังบ้านผลตอบรับเพิ่มขึ้น แย้มช่วงเดือน ก.ค. SSSG ยังเป็นบวก 20% ด้านโบรกเชียร์ ซื้อ เป้า 35 บาท มองระยะยาวยังเติบโต
นางสลิลทิพ เรืองสุทธิภาพ รองกรรมการผู้จัดการสายงานบัญชี การเงิน และสนับสนุนองค์กร บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME เปิดเผยว่า ประเด็นการล็อกดาวน์ 10 จังหวัด เบื้องต้นมองว่าไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัท เพราะแม้ว่าจะมีการกำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและมีการกำหนดเวลาเปิดปิดทำการ แต่ร้านค้าเครื่องมือช่างและวัสดุก่อสร้างนั้นยังให้เปิดทำการได้ตามปกติ ทำให้ปัจจุบันบริษัทยังสามารถเปิดให้บริการหน้าร้านได้อยู่
ทั้งนี้หากในกรณีที่ต้องปิดหน้าร้านบริษัทก็มองว่ากลุ่มลูกค้าจะปรับมาสั่งช่องทางหลังบ้านเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนับตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม 2564 จนถึงปัจจุบัน ยอดขายต่อสาขาเดิม (SSSG) มีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องในระดับ ตัวเลขสองหลัก หรือประมาณ 20% กว่าๆ ถือว่าอยู่ในระดับการทรงตัวที่ค่อนข้างดี
ยอด SSSG หนุน
สำหรับยอด SSSG ในช่วงไตรมาส 2/2564 ประเมินว่ามีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดย SSSG นับตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน 2564 จนถึงมิถุนายน SSSG เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 25-26% จากไตรมาสแรกปีนี้ที่อยู่ที่ระดับราว 22.5% และมีรายได้จากการขายรวมเติบโตอยู่ที่มากกว่า 40% จากไตรมาสก่อนหน้าที่ราว 33-34%
อย่างไรก็ตาม ด้วยปัจจัยราคาเหล็กโลกที่ปัจจุบันยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้คาดว่ามาร์จิ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้จะยังดีขึ้น ซึ่งเป็นไปตามราคาต้นทุนทางวัตถุดิบเหล็กที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ราคาขายเหล็กในปัจจุบันปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยที่ประมาณ 20-40% เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน คาดว่าราคาเหล็กยังคงดีต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 2/2564 และไตรมาส 3/2564 และมีแนวโน้มต่อเนื่องไปจนถึงปลายไตรมาส 4/2564 อีกด้วย
House Brand มาร์จิ้นดี
ขณะเดียวกันสินค้า House Brand ก็เป็นอีกปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญเพราะเป็นกลุ่มที่ให้มาร์จิ้นที่ดี และมีการตอบรับที่ดีของลูกค้า ส่งผลให้บริษัทยังคงมีความมั่นใจว่าผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังปี 2564 จะมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก และจะดีกว่าเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน
ในส่วนของแผนการลงทุนในปี 2564 นี้ยังคงเป็นไปตามเดิม โดยบริษัทยังคงเดินหน้าแผนเปิด 2 สาขา ไซซ์ L ได้แก่ สาขาอมตะนคร ชลบุรี ในไตรมาส 3/2564 และสาขาในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในไตรมาส 4/2564 เบื้องต้นคาดว่าใช้เงินลงทุนที่เฉลี่ยสาขาละ 400-450 ล้านบาท
เคาะเป้าหมาย 35 บ.
บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ยังคงคำแนะนำซื้อและราคาเป้าหมายที่ 35.00 บาท โดยมีมุมมองเป็นบวกในประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1.คงเป้าขยายสาขาในช่วงครึ่งหลังปี 2564 อีก 2 สาขา และในปี 2565 อีกจำนวน 5 สาขา ด้วยงบประมาณ 400 ล้านบาทต่อสาขา นอกจากนี้มีแผนจะขยาย DC ซึ่งปัจจุบันใช้พื้นที่ไป 20-30 ไร่ ครอบคลุม Vender ราว 30-40% และรองรับสาขาได้ราว 20 สาขา
2.บริษัทมี Lock Up Period โดยจะไม่มีการเพิ่มทุนใดๆ อีกใน 1 ปี ทั้งนี้ 2 สาขาที่จะขยายในช่วงครึ่งหลังปีนี้ได้รับการอนุมัติเงินกู้แล้ว ส่วนปี 2565 ธนาคารได้เสนอเงินกู้มาแล้วสำหรับ 2 สาขา เหลืออีก 3 สาขา อยู่ระหว่างการนำเสนอ และ 3.ผลประโยชน์ของการเพิ่มทุนได้แก่ เพิ่มสภาพคล่อง ความแข็งแกร่งทางการเงิน และ Flexibility ให้กับบริษัท ซึ่งจะทำให้ D/E Ratio ปรับลงมาอย่างมีนัยที่ 1.5 เท่า จาก 1.96 เท่า
ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ไว้ที่ 2.03 พันล้านบาท เติบโต 180% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน จาก 1.SSSG ที่เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน โดยได้อานิสงส์จากรัฐบาลเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ รวมถึงมาตรการภาครัฐให้ WFH หนุนให้มีการตกแต่งซ่อมแซมที่พักอาศัยมากขึ้น ตลอดจนสาขาในภาคอีสานยังได้รับผลกระทบจากโควิดน้อยกว่าภาคอื่นๆ และ 2.GPM ยังทำได้ดีขึ้นต่อเนื่อง
คงกำไรสุทธิปี 2565 ไว้ที่ 2.25 พันล้านบาท เติบโต 11% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน หลักๆ จากการขยายสาขาเพิ่มอีก 5 สาขา และการปรับกลยุทธ์เสริม GPM การปรับ Product Mix ในสาขาเปิดใหม่ และใช้ DC มากขึ้น
ที่มา: หนังสือพิมพ์ทันหุ้น