COTTO คาดรายได้ปีนี้โต5%เตรียมงบลงทุน450-500ล้าน

27 ม.ค. 2566 294 0

 

          COTTO ตั้งเป้ารายได้ปี 66 โต 5% จากปี 65 ที่มีรายได้ 13,157 ล้านบาท จากการปรับขึ้นราคาขายสินค้า พร้อมทุ่มงบลงทุน 450-500 ล้านบาท เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลุยเพิ่มเครื่องจักรใหม่ ปรับปรุงเครื่องจักรเดิม และเร่งลงทุนโครงการ Energy Saving หวังลดต้นทุนการผลิต ส่วนผลงานปี 65 ทรุดพลิกขาดทุน 227.79 ล้านบาท เหตุราคาพลังงานพุ่งสูง

          นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO เปิดเผยว่า ผลประกอบการปี 2565 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 227.79 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 583.60 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากราคาพลังงานพุ่งสูงจนส่งผลกระทบต่อกำไรในไตรมาส 4/2565 และมีรายได้จากการขายรวม 13,157 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับราคาขายขึ้นและยอดขายภายในประเทศที่เติบโตขึ้น

          สำหรับในปี 2566 บริษัทประเมินรายได้จากการขายจะเติบโตที่ระดับ 5% จากปี 2565 ซึ่งจะมาจากการปรับราคาขายสินค้าเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณการขายเท่าเดิม โดยบริษัทมองว่าตลาดภายในประเทศไทยน่าจะเติบโตที่ระดับ 1-2% ขณะที่ตลาดต่างประเทศจะพยายามรักษาให้อยู่ในระดับเดิม รวมทั้งบริษัทยังมองว่าราคาพลังงานจะยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ และสถานการณ์ตลาดกระเบื้องเซรามิกในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ต่อไปอีกระยะหนึ่ง

          ทั้งนี้ ในปี 2566 บริษัทวางงบลงทุนรวมไว้ที่ประมาณ 450-500 ล้านบาท เพื่อใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต โดยการลงทุนเครื่องจักรใหม่ ๆ และลงทุนปรับปรุงเครื่องจักรเดิม และลงทุนในโครงการ Energy Saving เพื่อลดต้นทุนการผลิต นอกจากนี้ ยังใช้เป็นงบลงทุนในการขยายร้านร่วมกับตัวแทนจำหน่าย

          “ความต้องการใช้สินค้ากระเบื้องเซรามิกโดยรวมในปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัวตามการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ตามเศรษฐกิจโดยรวมที่น่าจะขยายตัวและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยมีแรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยว ขณะที่ต้นทุนการผลิตยังมีปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามอง โดยเฉพาะราคาพลังงาน อัตราเงินเฟ้อ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และหนี้ครัวเรือนที่มีผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค” นายนำพล กล่าว

          นายนำพล กล่าวต่อว่า ในปี 2566 บริษัทเตรียมรับมือกับต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนพลังงานที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ด้วยการลดต้นทุนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ และเร่งโครงการ Energy Saving ให้เกิดผลเร็วขึ้น ขณะที่การแข่งขันในอุตสาหกรรมมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นกว่าปีก่อน ดังนั้น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และรักษาส่วนแบ่งการตลาดและสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ บริษัทมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ด้านการพัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายเพื่อยกระดับความพึงพอใจของลูกค้าและคู่ค้า

 

ที่มา: