Q4/65 อสังหาฯโตเทียบปี62

22 ส.ค. 2565 278 0

 

          คาดทั้งปียอดเปิดโครงการใหม่ทะลุ 8 หมื่น

          เชื่อ Q3 เงินเฟอพีกสุดก่อนลดลงสินปี65

          อสังหาริมทรัพย์

          เมื่อวันที่ 20 ส.ค.2565 เว็บไซต์ TRERA BKK จัดงานสัมมนาภายใต้หัวข้อ “โอกาสของอสังหาริมทรัพย์เมื่อโลกเข้าสู่บทใหม่” โดยได้เชิญวิทยากรจาก หน่วยงานภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมวิเคราะห์ แนวโน้มเศรษฐกิจโลก ปัญหาเงินเฟอ ต้นทุนการก่อสร้าง ที่จะมีผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 นี้

          โดย ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า ภาพการขยายตัวของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยมีอัตราการขยายตัวหรือกลับมาฟื้นตัวได้ดีในระดับหนึ่ง ณ ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อโลกเริ่มชะลอตัวลงพร้อมๆ กับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงเช่นกัน ทั้งนี้ ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเริ่มชะลอตัวลงแล้ว พร้อมๆ กับการ ลดลงของเงินเฟ้อ โดยปัจจัยหลักๆ ที่ส่งผลต่อเงินเฟ้อคือ ทั้งทางด้านภาคการผลิต และการบริโภค ขณะเดียวกันความคาดหวังเงินเฟ้อเริ่มลดลง ปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้ เกิดเงินเฟ้อเริ่มลดลง ซึ่งถือว่าเป็นช่วงของการเปลี่ยนผ่าน หรือก้าวผ่านช่วงพีกของเงินเฟ้อไป

          อย่างไรก็ตาม การลดลงของเงินเฟ้อนี้จะมาพร้อมกับการหดตัวทางเศรษฐกิจ จากการศึกษาพบว่าดัชนีชี้วัดเงินเฟ้อมาพิจารณาจะพบว่าเงินเฟ้อของฝั่งการผลิต หรือต้นทุนการผลิต เช่น ค่าจ้างเริ่มลดลงจาก 5% เหลือ 4.6% ราคาน้ำมันดิบจาก 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลลดลงมาอยู่ที่ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โภคภัณฑ์หนัก เช่น แร่เหล็ก นิกเกิล ทองแดง โภคภัณฑ์เบา กลุ่มธัญพืชต่างๆ ที่พีกในช่วงไตรมาส 1/65 ขณะนี้เริ่มลดลงแล้ว และการลดลงนี้จะนำไปสู่ความคาดหวังเงินเฟ้อที่ลดลงด้วย

          อย่างไรก็ตาม การลดลงของเงินเฟ้อดังกล่าว ยังวางใจไม่ได้ทั้งหมด เนื่องจากขณะนี้ยุโรปอยู่ในช่วง ฤดูร้อน ทำให้ปริมาณการใช้ก๊าซไม่สูงนัก แต่เมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวความต้องการใช้ก๊าซจะเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่กลุ่มประเทศยุโรปลดการนำเข้าก๊าซจากรัสเซียจะทำให้ต้องหาเชื้อเพลิงตัวใหม่เข้ามาทดแทน เช่น น้ำมัน ถ่านหิน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจจะทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับมาอีกครั้ง

          สำหรับภาพเศรษฐกิจโดยรวมจากนี้ไป ด้วยภาพที่อัตราเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวลงจะมีผลทำให้โอกาสที่เฟด หรือธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงๆ ลดลง ทำให้ธนาคารพาณิชย์ของไทยไม่จำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าดอกเบี้ยจะยังอยู่ในช่วงขาขึ้นไปถึงช่วงต้นปี 66 และจะทำให้เริ่มเห็นการชะลอตัวทางเศรษฐกิจรุนแรงมากขึ้น การผันผวนทางตลาดการเงินมีมากขึ้น และในช่วงกลางปี 66 จะทำให้เฟดยุติการปรับขึ้นดอกเบี้ยหรืออาจจะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง

          “แม้ว่าในปีหน้าดอกเบี้ยจะเริ่มลดลง แต่เศรษฐกิจจะยังคงปรับตัวลดลง เพราะดอกเบี้ยมีการปรับตัวขึ้นมาสูงมากแล้ว โดยพีกที่สุดของดอกเบี้ยคาดว่าจะอยู่ที่ 3-4% เมื่อดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงจะไปกดดันให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง โดยคาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจะอยู่ที่ 1% ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจเกิดการถดถอยอย่างจริงจัง ไม่ใช่การถดถอยทางเทคนิค ทำให้เกิดการจ้างงานลดลง การว่างงานเพิ่มขึ้นซึ่งจะเกิดขึ้นในอีก2 ปีข้างหน้า นี้คือภาพรวมของเศรษฐกิจอเมริกา”

          ในขณะที่เศรษฐกิจไทยนั้น คาดการณว่าไตรมาส 2 นี้จะเติบโตอยู่ที่ 2.5% ซึ่งเป็นการทยอยฟื้นตัวต่อจากปีที่ผ่านมา ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์ เนื่องจากตัวเลขการส่งออกและการท่องเที่ยวต่ำเพราะตัวเลขการนำเข้าสูงขึ้น ทำให้ยอดการส่งออกติดลบ นอกจากนี้ตัวเลขการลงทุนโครงการภาครัฐก็มีเพียงเล็กน้อย มีผลให้ตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นเศรษฐกิจไทยจึงไม่ได้สดใสมากอย่างที่หวัง แต่อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในทิศทางของการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แต่การปรับดอกเบี้ยอาจจะไม่แรงอย่างที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้ โดยคาดว่าปีนี้จะมีการปรับดอกเบี้ย2 ครั้ง คือ ภายในเดือนส.ค.และไปปรับอีกครั้งในปลายปี โดยสรุปแล้วภาพเศรษฐกิจไทยยังคงมีการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปนั้น โดยภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นภาคธุรกิจที่เติบโตได้ดี ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาการฟื้นตัวของอสังหาฯ เป็นภาคธุรกิจที่ไม่เคยติดลบโดยขยายตัวอยู่ที่ 2.4%

          การฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์มีการฟื้นตัวและขยายตัว พร้อมไปกับภาคธุรกิจโรงแรมจากจำนวนการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นหลังจากที่มีการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งดีมานด์จากความต้องการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยทำให้การท่องเที่ยวขยายตัวได้ดีขึ้น

          อย่างไรก็ตาม แม้ภาคธุรกิจอสังหาฯ จะมีการปรับตัวดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกันภาคธุรกิจก่อสร้างกลับมี การหดตัวลง สังเกตได้จากในช่วง 2-3 ไตรมาสที่ผ่านมา ตัวแรกของภาคธุรกิจก่อสร้างปรับตัวลดลงเนื่องจากการลงทุนโครงการก่อสร้างของภาครัฐปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก ในขณะที่การลงทุนในภาคเอกชนขยายตัวได้ไม่แรง นอกจากนี้ยังมีปัจจัยลบจากการปรับตัวของต้นทุนวัสดุก่อสร้าง เช่น ทำให้ภาคการก่อสร้างค่อนข้างหดตัวลง อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์นั้น มีการเปลี่ยนแปลงจากการปรับตัวในกลุ่มที่อยู่อาศัย แนวสูงเปลี่ยนมาเป็นการเติบโตในกลุ่มที่อยู่อาศัย แนวราบเพิ่มมากขึ้น

          สำหรับในด้านของกลุ่มสินเชื่อที่อยู่อาศัยไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อโครงการ หรือ สินเชื่อรายย่อย เริ่มฟื้นตัว ดีขึ้นแต่ในส่วนของสินเชื่อโครงการคอนโดมิเนียมมีการปรับตัวลดลงเนื่องจากกลุ่มลูกค้าหันไปซื้อบ้านแนวราบมากขึ้นทำให้กลุ่มสินเชื่อของบ้านแนวราบในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวดีขึ้น ซึ่งก็ส่งผลต่อยอดสินเชื่อโดยรวมโดยยอดสินเชื่อมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่มีการเปิดประเทศทำให้มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการลงทุนโครงการใหม่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นโดยมีอัตราการเติบโตถึง 124% จากปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มกลับมาฟื้นตัวได้เป็นอย่างดี

          ดร.พิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาคสำนักงานเศรษฐกิจการคลังกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หากมองย้อนหลังกลับไปภาคเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ผ่านช่วงวิกฤตเศรษฐกิจมานับตั้งแต่ ปี 2537 พบว่าไม่บ่อยนักที่วิกฤตเศรษฐกิจจะส่งผลต่อการหดตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยสรุปแล้ววิกฤตที่ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยหดตัวคือวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 วิกฤตซับไพรม์ ช่วงน้ำท่วมและช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งดูจากภาพล่าสุดแล้วขณะนี้เศรษฐกิจไทยถือว่าอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว ถ้ามองเป็นอัตราการขยายตัวจะเห็นว่าตั้งแต่ไตรมาส 4/64 เศรษฐกิจไทยขยายตัวที่ดิน 1.8% ขยับขึ้นมาที่ 2.5% ในไตรมาสที่ 2/65 แม้ว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจจะออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ ซึ่งคาดการณ์ไว้ว่าเศรษฐกิจจะมีการขยายตัวอยู่ที่ 3.1%

          แต่อย่างไรก็ตาม การเปิดประเทศการขยายตัว ของการส่งออกและการขยายตัวทางด้านการท่องเที่ยว ขณะที่สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนไม่ได้รุนแรงมากไปกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันปัจจัยด้านราคาน้ำมันเอง ขณะนี้ก็เริ่มทรงตัวและปรับตัวลดลงบ้างแล้ว สิ่งต่างๆ เหล่านี้น่าจะเป็นปัจจัยบวกให้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังฟื้นตัวและกลับมาขยายตัวได้ดีมากขึ้น โดยคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังนี้เศรษฐกิจอาจจะขยายตัวได้มากถึง 4% และตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งปีคาดว่าจะขยายตัวได้ถึง 3-3.5% ทั้งนี้หากมองในเรื่องของการใช้จ่ายภาคครัวเรือนนั้นจะพบว่าอัตราการใช้จ่ายค่อนข้างดีทำให้ จีดีพีด้านการใช้จ่ายขยายตัวได้ดี ด้านการผลิตนั้นมี หลากหลายเซกเตอร์ที่ขยายตัวดี โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ ไวรัสโควิด-19 อย่างเช่นกลุ่มธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารกลับมาขยายตัวได้ดี โดยขยายตัวถึง 44.9% ในไตรมาส 2 กลุ่มธุรกิจ ค้าปลีก ค้าส่ง ก็ขยายตัวได้ดีขึ้น

          ส่วนด้านภาคกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น ต้องยอมรับว่าในไตรมาส 2 ก็ยังชะลอตัวอยู่อาจจะดูในหมวดของการก่อสร้างมีอัตราการก่อสร้างลดลง 4.5% ซึ่งเป็นการก่อสร้างที่ลดลงจากทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะภาครัฐนั้นมีปริมาณ การก่อสร้างเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานลดลงอย่างมาก

          สำหรับในภาคของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรงนั้นในไตรมาส 2 นี้มีอัตราการขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องโดยมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 2.4% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกที่ขยายตัวอยู่ที่ 1% โดยเป็นการขยายตัวจากกิจกรรมจากการเช่าอสังหาฯ เพื่อเป็นที่พักอาศัยและอาคารพาณิชย์กิจกรรมตัวแทนการซื้อขายอสังหาฯ

          “หลายคนถามกันว่าเมื่อไหร่ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะกลับมาขยายตัวได้เท่ากับช่วงเดียวก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อันนี้ต้องยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการฟื้นตัวได้ช้ากว่าหลายๆ ประเทศ คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาขยายตัวได้เท่ากับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 หรือกลับมาขยายตัวได้ในระดับเดียวกับ ไตรมาส 4 ของปี 62 ในช่วงปลายปี 65 นี้”

          อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่น่าเป็นห่วงในช่วงต่อจากนี้คือปัญหาเงินเฟ้อซึ่งในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลังนั้น มีความเห็นตรงกันว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยน่าจะพีกสุดในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ โดยในเดือนส.ค. จะเป็นเดือนที่ตัวเลขเงินเฟ้อสูงสุด และไตรมาส 4/65 นี้ระดับเงินเฟ้อจะเริ่มปรับตัวลดลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดลงของราคาน้ำมันหรือพลังงานจะทำให้อัตราเงินเฟ้อในช่วงปลายปีปรับตัวลดลงโดยจะปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ 6-7%  และไตรมาส 1-2 ของปี 66 จะเริ่มปรับตัวลดลงอีก โดย ธปท.คาดว่าในปีหน้าอัตราเงินเฟ้อน่าจะอยู่ที่ระดับ 2.5%

          สำหรับผลกระทบจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยใน 3 ช่องทางคือ 1. ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งราคาของพลังงานที่เพิ่มขึ้นนั้นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ขณะเดียวกันราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อและกำลังซื้อของครัวเรือน และกระทบถึงการบริโภคการลงทุนของภาคเอกชน 2. เศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการท่องเที่ยวในประเทศของไทย และ 3. ตลาดเงินได้รับผลกระทบให้เกิดความผันผวน มีผลกระทบต่อความมั่งคั่งของครัวเรือนและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

          ทั้งนี้ ผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อของประเทศไทยนั้น จากการประเมินในเบื้องต้นคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยผ่านช่องทางหลักได้แก่ 1. กระทบต่อเงินเฟ้อโดยตรงโดยกรณีที่ราคาน้ำมันดิบดูไบเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 100 เหรียญต่อบาร์เรล คาดว่าจะทำให้อัตราเงินเฟ้อของประเทศไทยในปี 2565 นี้จะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 5% และ 2. ผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวเนื่องจากแนวโน้มการลดลงของนักท่องเที่ยวรัสเซียและยุโรป ซึ่งเป็นกลุ่มหลักที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ทั้งนี้คาดว่าผลกระทบทั้งจากการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงานและผลกระทบต่อการท่องเที่ยวจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2565 นี้ขยายตัวได้ต่ำกว่าคาดการณ์เดิมแต่จะยังสามารถขยายตัวได้อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 3%

          ส่วนเศรษฐกิจไทยนั้นในช่วงสองปีจากนี้ไปคือปี 2565-2566 ถือว่าเป็นปีแห่งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ สังเกตได้จากในช่วงที่ผ่านมาจะมีเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะการเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดการเงิน เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจของไทยอยู่ในภาวะของการฟื้นตัว สำหรับทิศทางนโยบายของ ธปท.ขณะนี้ได้มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในอัตราที่ 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ ปัจจุบันขยับขึ้นมาอยู่ที่ 0.75% หลังจากที่ กนง.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุด และจากสัญญาณของ กนง.คาดว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปไม่รุนแรงเหมือนกับที่ตลาดคาดการณ์

          หากมองในเรื่องของหนี้ครัวเรือนต้องยอมรับว่าหนี้ครัวเรือนเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องมีการติดตาม แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันระดับหนี้ครัวเรือนก็มีการปรับตัวลดลง อยู่ที่ 89.2% ของจีดีพีจากเดิมที่ปรับตัวสูงกว่า 90% ในส่วนของภาครัฐนั้นไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการคลังหรือ ธปท.ก็มีมาตรการออกมาเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ก็มีมาตรการทางการเงินออกมาช่วยเหลือในกลุ่มลูกหนี้ต่างๆ แต่ในปีที่ผ่านมานี้มีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงในบางกลุ่ม และในอนาคตก็จะเจาะจงกลุ่มลูกหนี้ให้มากขึ้น เพื่อให้มีความยืดหยุ่นและตรงจุดมากขึ้นพร้อมปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหากสถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น

          สำหรับมาตรการทางการคลังที่เข้ามาดูแลภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ปี 2558 คือโครงการบ้านหลังแรกซึ่งช่วยในการหักลดหย่อนภาษีรายได้บุคคลธรรมดาการลดค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนองบ้านมือหนึ่งและมือสอง โครงการบ้านดีมีดาวซึ่งกลุ่มเป้าหมายคือกลุ่มที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ตอนนี้ยังมีมาตรการทางด้านภาษีที่เข้ามาช่วยกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ ที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ คือ การลดหย่อนภาษีที่ดินให้กับพื้นที่ที่นำมาพัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรมพัฒนาเป็นโครงการอาคารชุดโครงการจัดสรรซึ่งมีการลดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 90% เป็นระยะเวลา 3 ปีนับตั้งแต่ได้รับการอนุญาตจัดสรร

          นอกจากนี้ยังมีการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิ์และนิติกรรมเช่น การลดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิ์และนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัยเพื่อสนับสนุน และบรรเทาภาระให้แก่ประชาชนที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยของตนเองในระดับราคาที่ไม่สูงมาก เพื่อส่งเสริมการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างความมั่นคงในทางเศรษฐกิจรวมถึงช่วยรักษาระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 โดยมีการลดค่าจดทะเบียนการโอนจาก 2% ลงเหลือ 0.01% และการจดจำนองจาก 1% ลดเหลือ 0.01% สำหรับการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มอาคารที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวบ้านแฝดบ้านแถวอาคารพาณิชย์หรือที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุดโดยราคาซื้อขายและราคาประเมิน ไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้รวมทั้งกลุ่มบ้านมือสองด้วยโดยมาตรการนี้จะหมดอายุลงในวันที่ 31 ธ.ค. 2565

          ด้าน นายสัมมา คีตสิน อุปนายกฝ่ายวิชาการสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า แนวโน้มการผ่อนปรนมาตรการควบคุมดูแลการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงรัฐบาลไทยซึ่งมีการผ่อนปรนมาตรการการเดินทาง และให้ธุรกิจต่างๆ สามารถเปิดให้บริการได้มากขึ้นทำให้เกิดการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นและกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ เริ่มผ่อนคลายกลับมาดำเนิน การได้มากขึ้น ทั้งนี้ในส่วนของภาคธุรกิจอสังหาฯ นั้น คาดว่าจะสามารถกลับไปขยายตัวได้เทียบเท่ากับปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566

          ปัญหานี้ครัวเรือนนั้น ณ สิ้นปี 2564 หนี่ครัวเรือนอยู่ในระดับ 90.1% ของจีดีพีและครัวเรือนมีสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้โดยเฉลี่ยอยู่ในระดับใกล้เคียง 30% มาตั้งแต่ปี 2562 และเพิ่มขึ้นหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เนื่องจากการกู้ยืมเพื่อชดเชยรายได้ที่ขาดหายไป คืออีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคหายไป สำหรับหนี้ครัวเรือนที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ หากแยกประเภทออกมาพบว่าเป็นหนี้ครัวเรือนที่ควรสนับสนุน โดยพบว่าเป็นหนี้เพื่อการซื้ออสังหาริมทรัพย์ 43.5% หนี้เพื่อซื้อรถยนต์ 12.4% เป็นหนี้เพื่อการประกอบธุรกิจ 18.8% เป็นหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล 27.8% และเป็นหนี้สินเชื่ออื่นๆ 6.4% โดยการซื้ออสังหาฯ นั้นเป็นหนี้ที่มีหลักประกันและหนี้เพื่อการประกอบธุรกิจเป็นหนี้ที่เกิดจากความพยายามหารายได้ในอนาคตของผู้กู้ ซึ่งจะทำให้มีความสามารถในการซื้ออสังหาฯ และจ่ายหนี้ได้ ดังนั้นหนี้ทั้งสองประเภทรวมกันคิดเป็นสัดส่วน 53.3% จึงควรสนับสนุนสินเชื่อทั้งสองประเภทนี้มากขึ้นและลดสัดส่วนการให้สินเชื่อประเภทอื่นจึงจะเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม

          สำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ในปี 2565 นี้สถาบันการเงินได้ปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยไปแล้วรวม 311,500 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 6.5% จากยอด 295,000 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2564 โดยธนาคารอาคาร สงเคราะห์ (ธอส.) มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ประมาณ 43% ในครึ่งปีแรกได้ปล่อยสินเชื่อไปแล้ว 135,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันของปี 2564 และคาดว่าทั้งปี 2565 นี้จะปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ถึง 280,000 ล้านบาทซึ่งสูงกว่าทุกปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าในตลาดที่อยู่อาศัยระดับราคาต่ำถึงปานกลางยังเป็นกลุ่มที่อยู่อาศัยที่มีความต้องการของตลาดและขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีการขยายตัวในระดับราคาโครงการบ้าน 1,000,000 หลังในเฟสที่สองจากเดิมไม่เกินราคา 1.2 ล้านบาท เป็นระดับราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาทซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสของคนซื้อที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น

          สำหรับตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2565 นี้คาดการณ์ว่าจะมีที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่เข้าสู่ตลาดกรุงเทพฯ และปริมณฑลจำนวนมากขึ้นกว่าปี 2564 เนื่องจากปริมาณการเปิดขายใหม่ในรอบ 2 ปี รวมกัน (ปี 2563 รวมกับปี 2564) มีจำนวนเพียง 51,300 หน่วยจากปกติจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ปีละประมาณ 60,000 หน่วย โดยคาดว่าจะมีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่มากกว่า 45,000-50,000 หน่วย ในปี 2565 และมีบ้านจัดสรร เปิดขายใหม่ประมาณ 35,000-40,000 หน่วย โดยเป็นโครงการบ้านจัดสรรในพื้นที่ชั้นนอกของกรุงเทพฯ รวมทั้งจังหวัดปริมณฑลยังคงได้รับความสนใจ และเป็นที่ต้องการทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮาส์

 

ที่มา: