วิกฤตต้นทุนดอกเบี้ยขาขึ้น ธุรกิจรัดเข็มขัด-ชะลอลงทุนใหม่

20 มิ.ย. 2565 655 0

         ธุรกิจปรับแผนรับมือวิกฤต “เงินเฟ้อ” ทั้งราคาพลังงาน-ค่าไฟฟ้า-วัตถุดิบพุ่งไม่หยุด จุดเปลี่ยน “ดอกเบี้ยขาขึ้น” กระทบต้นทุนธุรกิจพุ่งทุกมิติ ฝ่ายวิจัยทีทีบีชี้ธุรกิจอ่วมส่งผ่านต้นทุนไม่ได้ “เอสเอ็มอี” เจอผลกระทบดอกเบี้ยหนักสุด เพราะทุนหมุนเวียนส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ เคแบงก์เผยเอสเอ็มอีแห่ขอวงเงินสินเชื่อตุนสภาพคล่องรับมือช่วงยากลำบาก พร้อมสัญญาณชะลอ การลงทุนใหม่ “เอสซีจี-กระทิงแดง” รีวิวแผนธุรกิจรายเดือน “เอไอเอส” ยึดนโยบาย รัดเข็มขัด ฟากธุรกิจโรงแรมเหนื่อยหนักแบกภาระดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่ม “เซ็นทารา” ปรับแผนเอาต์ซอร์ซ ลดต้นทุน
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากสงครามรัสเซีย-ยูเครนส่งผลกระทบให้ราคาพลังงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงวัตถุดิบในอุตสาหกรรมการผลิตอีกหลายตัว ทำให้ต้นทุนการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง พร้อมกันนี้ยังมีสัญญาณการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม กนง.ในเดือน ส.ค.นี้ หมายถึงต้นทุนการเงินที่จะเพิ่มสูงขึ้นอีก
          และล่าสุด นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ก็ยอมรับว่ามีแนวโน้มค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า Ft) งวด ก.ย.-ธ.ค. 2565 จะปรับขึ้นมากกว่า 40 สตางค์ ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าปรับขึ้นอีก
          ธุรกิจแบกต้นทุน-ส่งผ่านไม่ได้
          นายนริศ สถาผลเดชา หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี (ttb analytics) กล่าวว่า ตอนนี้การส่งผ่านต้นทุนจาก ผู้ผลิตมายังผู้บริโภคยังทำได้ไม่หมด เห็นได้จากตัวเลขเงินเฟ้อฝั่งผู้บริโภคที่โต 7.1% แต่เงินเฟ้อฝั่งผู้ผลิตโตถึง 13%
          “แปลว่าราคาสินค้าที่ผู้บริโภคเจอตอนนี้ ยังส่งผ่านมาจากผู้ผลิตไม่หมด คือ ภาคธุรกิจยังต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไว้อยู่ เพราะเศรษฐกิจยังอยู่ในช่วงกำลังฟี้นตัว ขณะที่รายได้ครัวเรือนยังไม่ได้ปรับตัวดีขึ้นมาก ถ้าดูราคาน้ำมันตั้งแต่ก่อนโควิดถึงปัจจุบันปรับขึ้นแล้วเกือบ 2 เท่าตัว ที่เพิ่มเยอะอีกตัวคือ ราคาเหล็ก และวัตถุดิบอุตสาหกรรม โดยเฉพาะภาคเกษตรที่ราคาปุ๋ยเพิ่มขึ้น”
          โดยต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงรวม 2 ปี ก็เพิ่มขึ้นแล้ว 73% เหล็กรวม ๆ เพิ่มขึ้นแล้ว 16-17% สินค้าเกษตรรวมเพิ่มขึ้นแล้ว 10% วัตถุดิบอุตสาหกรรมรวมเพิ่มขึ้นแล้วเกือบ 10% และวัตถุดิบอาหารรวม ๆ เพิ่มแล้ว 8-9%  ซึ่ง การคำนวณต้นทุนเหล่านี้ยังไม่ได้บวกต้นทุนค่าแรง ซึ่งมีโอกาสปรับขึ้นอีก”
          จากการเข้าไปศึกษางบดุลของธุรกิจกลุ่มต่าง ๆ พบว่า กลุ่มธุรกิจที่ต้นทุนเพิ่มขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ย ประกอบด้วยขนส่งและโลจิสติกส์, ประมง, ผู้ผลิตไฟฟ้า, เหมืองแร่ หิน ทราย, เคมีภัณฑ์, โรงสีและผู้ส่งออกข้าว, สินค้าเกษตรแปรรูป, อาหาร, เลี้ยงสัตว์, ผู้ผลิตเหล็ก และวัสดุก่อสร้าง ส่วนผู้ผลิตพลังงานมีการส่งผ่านต้นทุนไปได้
          เอสเอ็มอีน่าห่วงที่สุด
          นายนริศกล่าวว่า ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีน่าเป็นห่วงที่สุด เพราะไม่มีความสามารถในการส่งผ่านราคาไปยังผู้บริโภค ถ้าเป็นธุรกิจขนาดใหญ่และมีการส่งออกจะส่งผ่านต้นทุนได้ง่ายกว่า ส่วนแนวโน้มดอกเบี้ยที่สูงขึ้นก็จะกระทบเอสเอ็มอีมากกว่า เพราะส่วนใหญ่ใช้เงินกู้เป็นทุนหมุนเวียน ซึ่งสินเชื่อประเภทนี้จะเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ถ้าดอกเบี้ยขึ้นก็จะมีภาระเพิ่มขึ้นทันที ส่วนรายใหญ่สามารถวางแผนกู้ระยะยาวได้
          “ช่วงนี้ภาวะเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง ผลกระทบจากเงินเฟ้อจะยังมีจนถึงปีหน้า ดังนั้น ภาคธุรกิจอาจจะต้องเก็บสภาพคล่องไว้ พร้อมกับลดรายจ่าย ที่ไม่จำเป็น ปรับแต่งงบดุลให้ดีขึ้น แข็งแกร่งขึ้น อย่างหนี้สินที่ไม่จำเป็นก็อย่าเพิ่งไปสร้าง เป็นต้น
          ซ้ำเติมโรงแรม-หนี้ครัวเรือน
          ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงิน เกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวว่า ธปท.มีการปรับคาดการณ์เงินเฟ้อปีนี้ จาก 4.9% เป็น 6.2% สะท้อนว่าครึ่งปีหลังจะมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก เพราะราคาน้ำมัน ค่าไฟฟ้า ราคาก๊าซหุงต้ม รวมถึงราคาอาหารต่าง ๆ ก็ต้องปรับขึ้นอีก และมีโอกาสสูงที่จะเห็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม กนง.รอบหน้า 0.25% และมีโอกาสที่จะทยอยปรับขึ้นรวม 1-2 ครั้ง จากนี้คงต้องไปพิจารณาว่าถ้าขึ้นดอกเบี้ยแล้วจะดูแล ผู้ได้รับผลกระทบอย่างไร เพราะในภาวะเศรษฐกิจยังไม่ได้ฟี้นเต็มที่ โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวโรงแรมจะยิ่งลำบาก และต้องดูว่าจะมีเครื่องมือไปช่วยกลุ่มเปราะบาง อย่างไร เพราะการขึ้นดอกเบี้ยจะซ้ำเติมปัญหาหนี้ครัวเรือน
          SMEs แห่ขอวงเงินเพิ่ม
          ด้านนายชัยยศ ตันพิสุทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณลูกค้าเอสเอ็มอีรับมือกับปัจจัยเสี่ยงทั้งด้านอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ผ่านการขอวงเงินสินเชื่อหมุนเวียน (O/D) เสริมสภาพคล่องในธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจที่มีต้นทุนราคาสินค้าสูงขึ้น ทำให้ต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้น เช่น ปัมน้ำมัน ปิโตรเคมี เม็ดพลาสติก และอุปกรณ์ก่อสร้าง ปูนซีเมนต์ และเหล็ก เป็นต้น
          ขณะเดียวกันเห็นสัญญาณชะลอการลงทุนใหม่ในอุปกรณ์เครื่องจักร หรือการขยายธุรกิจ เพื่อเก็บกระแสเงินสดไว้มากที่สุด และพยายามขอวงเงินสินเชื่อให้มากที่สุด เพื่อประคองธุรกิจให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อน
          “ช่วงที่เงินเฟ้อสูงขึ้นจะพบว่าความต้องการใช้เงินในการประคองธุรกิจก็เพิ่มขึ้น เพราะต้นทุนสินค้าเพิ่ม แต่ยอดขายไม่ดีมาก ทุกคนก็พยายามลดต้นทุนค่าใช้จ่าย”
          “เอสซีจี” รีวิวแผนทุกเดือน
          นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย หรือ เอสซีจี กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากปัจจัยรอบด้านที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ทำให้บริษัทต้องมีการรีวิวแผนธุรกิจ และการลงทุนใหม่ เรียกได้ว่าเป็นรายเดือน และรายอาทิตย์เลย เพราะสถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนเร็วมาก เช่น กรณีต้นทุนพลังงาน เพราะธุรกิจของเอสซีจีเกี่ยวข้องกับพลังงาน โดยเฉพาะ ราคาน้ำมันที่ขึ้นไปถึง 40-50% เมื่อเทียบ กับช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา แม้ไม่ได้ทำให้ต้นทุน ปรับขึ้นขนาดนั้น แต่ก็ขึ้นไปอย่างน้อย 10-20% จึงต้องรีวิวแผนการลงทุนกันใหม่
          “การทรานส์ฟอร์มองค์กรโดยนำเทคโนโลยีมาใช้ ก็มีส่วนช่วยให้เราปรับตัวได้ดีและเร็วขึ้น เพราะตลาดและลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ซึ่งเอสซีจีทำเรื่องอินโนเวชั่นมาอย่างต่อเนื่อง และในช่วงโควิดเป็นช่วงที่ได้พิสูจน์ด้วยว่าสิ่งที่ทำไปเป็นอย่างไร สุดท้ายแล้ว ลูกค้าจะเป็นคนบอกว่าเราทำไปแล้วจะเป็นยังไงบนเป้าหมายที่ต้องการเป็นผู้นำในเรื่องอินโนเวชั่น และดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ตอนนี้ก็กำลังจะมาทำเรื่องความยั่งยืน”
          กระทิงแดงถกปรับแผน
          นายสราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP บริษัท เครื่องดื่ม กระทิงแดง จำกัด เปิดเผยว่า จากผลกระทบ เงินเฟ้อสูงขึ้น ทำให้ดอกเบี้ยอยู่ในทิศทางขาขึ้น ผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่ รายเล็กต้องปรับตัว หาแนวทางลดต้นทุน ต่าง ๆ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำธุรกิจ เพื่อรับมือกับวิกฤตที่เกิดขึ้นทั่วโลก สำหรับ TCP ก็ต้องปรับตัว จากที่มีการวางแผนระยะยาว 3 ปี ขณะนี้ต้องคิดหาแนวทางเคลื่อนธุรกิจต่อ โดยวางแผนงานกับทีมผู้บริหารกันทุกเดือน เพื่อรับการเปลี่ยนแปลง โดยโปรเจ็กต์การลงทุนต่าง ๆ ยังดำเนินต่อไป
          “ยอมรับว่าค่อนข้างกังวลกับสถานการณ์ภาพรวมของโลก เรื่องความขัดแย้งสงครามรัสเซียและยูเครน ภาวะเงินเฟ้อ ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง และยังมีความรุนแรงขึ้นต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้เราคุมไม่ได้ ก็ต้องจับตาดูกันต่อไป”
          เครือสหพัฒน์ไม่ใช้เงินกู้
          ขณะที่นายเวทิต โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคและบริโภครายใหญ่ แสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า ต้นทุนการเงินที่เพิ่มขึ้นคงไม่กระทบกับเครือสหพัฒน์ แต่มีส่วนที่จะกระทบลูกค้าสหพัฒน์มากกว่า เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมา บริษัทในเครือสหพัฒน์ทั้งหมดได้บทเรียนจากวิกฤตต้มยำกุ้งมา เพราะฉะนั้น เรื่องเงินจึงไม่มีปัญหา เพราะส่วนมากบริษัทไม่ได้ใช้เงินกู้ แต่มีเงินสดในมือค่อนข้างมาก
          รร.เหนื่อยแบกดอกเบี้ยเงินกู้
          นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ทั้งภาวะเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยขาขึ้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนการบริหารจัดการที่สูงขึ้น เนื่องจาก 2 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการโรงแรมส่วนใหญ่พึ่งพาเงินกู้จากสถาบันการเงินเข้ามาหมุนเวียนเพื่อพยุงธุรกิจในวงเงินที่ค่อนข้างสูง
          ขณะที่รายได้ยังกลับมาในสัดส่วนที่ค่อนข้างต่ำ เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยว ยังกลับมาไม่มากนัก บวกกับราคาที่ยังไม่สามารถปรับขึ้นได้ ส่งผลให้การฟี้นตัวของธุรกิจต้องใช้เวลาที่นานขึ้น
          “ปัญหาตอนนี้คือความเหลื่อมล้ำของธุรกิจ เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามายังมีจำนวนไม่มากพอที่จะกระจายเข้าไปในโรงแรมทุกเซ็กเมนต์ บางแห่งเปิดแล้วมีรายได้เพียงพอสำหรับการบริหาร บางโรงแรมยังขาดทุน บางโรงแรม ยังไม่สามารถเปิดให้บริการได้ เนื่องจากตลาดนักท่องเที่ยวที่เคยเป็นตลาด เป้าหมายยังไม่กลับมา”
          นางมาริสากล่าวด้วยว่า สถานการณ์ธุรกิจวันนี้เปลี่ยนเร็วมาก ทั้งพฤติกรรมนักท่องเที่ยว รวมถึงดีมานด์ในตลาด ผู้ประกอบการจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับตัวให้เร็ว ทั้งด้านกลยุทธ์การตลาด การบริหารบุคลากร รวมถึงการบริหารด้านไฟแนนซ์ เพื่อดูแลต้นทุนให้ธุรกิจยังสามารถเดินต่อไปได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
          นอกจากนี้ยังต้องมีจุดขาย หรือความโดดเด่นที่ชัดเจน โฟกัสและให้บริการที่เฉพาะเจาะจงสำหรับลูกค้าแต่ในละกลุ่มมากยิ่งขึ้น รวมถึงต้องบริหารและให้บริการที่ยืดหยุ่นขึ้นด้วย เพื่อรักษาฐานลูกค้าเก่าและขยายฐานลูกค้าใหม่
          “เซ็นทารา” ปรับแผนเอาต์ซอร์ซ
          ด้านนายกันย์ ศรีสมพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน โรงแรมเครือเซ็นทารา บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา หรือ CENTEL กล่าวยอมรับว่า สถานการณ์ที่เป็นอยู่ขณะนี้กระทบต่อต้นทุนการดำเนินงานของธุรกิจในภาพรวม อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่ฝั่งต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น ฝั่งรายได้ก็ทยอยเพิ่มขึ้นด้วย โดยช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ รายได้รวมในกลุ่มโรงแรมของเซ็นเทลสูงกว่ารายได้ทั้งปีของปี 2564 ที่ผ่านมา
          “ช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา เรามีอัตราการเข้าพักโรงแรมเฉลี่ยอยู่ที่ 35% ขณะที่ปีที่ผ่านมาทั้งปี เราได้แค่ 19% และปีนี้เรายังเปิดให้บริการโรงแรมใหม่เพิ่มเติม เช่น ดูไบ, สมุย เป็นต้น ทำให้รายได้รวมปรับตัวสูงขึ้น”
          นายกันย์กล่าวว่า สำหรับปัจจัยเรื่องสงครามรัสเซีย-ยูเครน ราคาน้ำมัน เงินเฟ้อ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นนั้น เป็นประเด็นที่บริษัทจำเป็นต้องบริหารจัดการและรับมือให้ได้ ที่ผ่านมาบริษัทพยายามควบคุมต้นทุนและปรับตัวในหลายรูปแบบ อาทิ ใช้เอาต์ซอร์ซแทนการจ้างบุคลากร จำนวนมากเหมือนในอดีต หาผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีการเงินเข้ามาดูแลส่วนไฟแนนซ์ เซอร์วิสทั้งกลุ่ม จากเดิมมีบุคลากรด้านบัญชีการเงินในทุกพร็อพเพอร์ตี้ หรือพยายามใช้อีวีและโซลาร์เซลล์เข้ามาช่วยลดต้นทุนพลังงาน เป็นต้น
          เอไอเอส “รัดเข็มขัด”
          ด้านนายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการตลาด กลุ่มลูกค้าทั่วไป บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมขณะนี้เริ่มดีขึ้นจากการปลดล็อกมาตรการต่าง ๆ การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว แต่สิ่งที่น่าห่วงคือสถานการณ์เงินเฟ้อ ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกว่าจะประคองเศรษฐกิจให้อยู่รอดได้อย่างไร
          สำหรับเอไอเอสก็ใช้นโยบายรัดเข็มขัดมาโดยตลอด แม้ธุรกิจจะยังมีกำไร แต่ก็ต้องระมัดระวัง และพร้อมที่จะปรับแผนปรับยุทธศาสตร์ได้ตลอดเวลาเพื่อให้ทันกับสถานการณ์ นอกจากนี้ เอไอเอสยังร่วมกับธนาคารกรุงไทย ในโครงการ “พอยท์เพย์” นำโปรแกรมสะสมแต้ม “AIS Points” มาเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม “ถุงเงิน” บนแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” เพื่อให้ลูกค้านำแต้มสะสมไปใช้แทนเงินสดเพื่อซื้อสินค้ากับร้านค้าที่อยู่บน “ถุงเงิน” ที่ปัจจุบันเข้าร่วมแล้ว กว่า 4 แสนร้านค้าทั่วประเทศ เพื่อช่วย แบ่งเบาภาระค่าครองชีพคนไทย
          เพอร์เฟคเบนเข็มเจาะตลาดบน
          นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ต้นทุนพัฒนาโครงการที่สูงขึ้นในปัจจุบันทำให้ค่าก่อสร้างปรับขึ้น 5-10% ส่งผลกระทบต่อการปรับราคาบ้านขึ้น 5% ซึ่งบริษัทได้เริ่มปรับราคาไปแล้วตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2565 เป็นต้นไป
          “ปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ คาดว่าครึ่งปีหลัง 2565 ภาพรวมตลาดต้องมีการปรับราคาบ้านขึ้น 3-5% โดยเซ็กเมนต์ตลาดกลาง-ล่างปรับขึ้น 3% และบ้านระดับกลาง-บนปรับขึ้น 5-7% เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น มีผลกระทบทำให้ผู้ประกอบการ ต้องปรับขึ้นราคาขาย และกระทบชิ่งไปถึงกำลังซื้อลูกค้าโดยตรง”
          สำหรับการปรับตัวของเพอร์เฟค หันไปจับตลาดพรีเมี่ยมมากขึ้น จากเดิมมีสัดส่วนรายได้ 20-25% ปีนี้เพิ่มเป็น 35-40% กลุ่มนี้พฤติกรรมการซื้อไม่มีความอ่อนไหวในด้านราคามากนัก เมื่อเทียบกับตลาดกลาง-ล่าง โดยบริษัทยังคงเป้ารายได้ 16,000 ล้านบาท ตามที่ประกาศตอนต้นปี ส่วนจะมีการรีวิวแผนธุรกิจหรือไม่ ขอประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังก่อน
          “เงินเฟ้อกระทบกำลังซื้อตลาดล่าง โดยสินค้าในกลุ่มทาวน์เฮาส์กับคอนโดฯคาดว่ากระทบเซ็กเมนต์ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ส่วนบ้านเดี่ยวจะกระทบกำลังซื้อราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท เพราะเป็นกลุ่ม prices sensitive จะขึ้นราคาสินค้ามากก็ไม่ได้” นายวงศกรณ์กล่าว
          “บางจาก-อุบล ไบโอ” เกาะติด
          นางสุรียส โควสุรัตน์ กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) หรือ UBE เปิดเผยว่า บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำ 0.3 เท่า ทำให้ผลกระทบต้นทุนดอกเบี้ยน้อยกว่าธุรกิจอื่น ๆ และเป็นเงินกู้ระยะยาว ช่วงที่ดอกเบี้ยต่ำ ๆ ก็มีการทยอยรีไฟแนนซ์ไปแล้ว อาจจะต้องดูว่าจะทำอะไรได้เพิ่มอีกหรือไม่ ส่วนแผนลงทุนที่วางไว้ก็ต้องเร่งสปีดให้เร็วขึ้น โดยเฉพาะโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพต่าง ๆ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต เพราะเงินลงทุนเตรียมไว้แล้ว ซึ่งได้เงินจากการ IPO มา 2,700-2,800 ล้านบาท ขณะนี้จึงยังไม่จำเป็นต้องออกหุ้นกู้หรืออะไรเพิ่ม
          นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทบางจาก กล่าวว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยจริง ๆ เป็นเรื่องของเงินเฟ้อ มองว่าภาครัฐก็พยายามบาลานซ์ก็ต้องดูต่อไป ตอนนี้หลาย ๆ อย่างก็เริ่มฟี้น ประเทศเริ่มเปิด
          “การปรับแผนเราก็ต้องดู ตอนนี้ถ้ามองกำลังซื้อของประชาชน บริษัทก็พยายามเป็นบริษัทน้ำมันคุณภาพที่ราคาขึ้นช้าสุด จริง ๆ บริษัทมีผลกระทบ บ้าง แต่ก็ต้องดูสถานการณ์ต่อไป”

ที่มา: