โควิด-19 ทุบอสังหาฯเบรกโปรเจกต์ ทีโอเอ-เบเยอร์-นิปปอนเพนต์ ปรับกลยุทธ์

08 ก.พ. 2564 524 0

          อสังหาริมทรัพย์

          การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 ในช่วงต้นปี 2563 ที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศอย่างหนัก หลังมีการประกาศล็อกดาวน์ประเทศไทย สิ่งที่ตามมา คือ การชะลอตัวของธุรกิจต่าง ๆ รวมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการหายไปของกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ขณะเดียวกันก็ส่งผลกระทบต่อกาลังซื้อของผู้บริโภค เนื่องจากในธุรกิจต่างๆมีการลดเวลาในการจ้างงาน ลดปริมาณพนักงาน รวมไปถึงการปรับลดเงินเดือน

          สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้สถาบันการเงิน เข้มงวดการพิจารณาปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้นโดยเฉพาะการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยในตลาดระดับล่าง กลุ่มราคา 1-3 ล้านบาท เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการเลิกจ้างงานและการปรับลดเงินเดือนและการลดเวลาในการทำงานลง นอกจากนี้ ยังเป็น กลุ่มเสี่ยงที่สถาบันการเงินต่างๆ มีความระมัดระวัง ในการปล่อยสินเชื่ออย่างมาก เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง โดยเฉพาะเมื่อนับรวมกับ ปัจจัยลบจากการประกาศมาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่ LTV

          จากแนวโน้มดังกล่าว ทำให้ในช่วง1ปีที่ผ่านมาบริษัทอสังหาฯทั้งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และบริษัทที่อยู่นอกตลาดมีการชะลอการพัฒนา โครงการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดฯ อาคารสูง รวมถึงโครงการบ้านจัดสรรลดลงเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ สถานการณ์ การหดตัวอย่างรุนแรงในตลาดอสังหาฯ ในปีที่ผ่านมาส่งผลให้ธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เช่น ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ วัสดุก่อสร้าง สินค้าตกแต่งบ้าน และ ธุรกิจสีทาอาคารชะลอลดลงตามไปด้วย

          การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ใน ปี 2563 ทำให้บริษัทสีทาอาคาร ทั้งรายใหญ่รายเล็ก มีการปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ตลาดที่ชะลอตัวลง โดยผู้ผลิตและจำหน่ายรายใหญ่ปรับตัวด้วยการออกผลิตภัณฑ์สีนวัตกรรมรุ่นใหม่ที่มีคุณสมบัติในการป้องกันและฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 และเชื้อแบคทีเรีย

          เริ่มต้นที่ค่าย “สีเบเยอร์” ได้เปิดตัวนวัตกรรม สีทาภายในอาคาร “เบเยอร์ชิลด์ แอนตี้ ไวรัส โกลด์ ไอออน” ที่ พร้อมจะปกป้องผู้อยู่อาศัยทุกคนในบ้าน ให้ห่างไกลจากเชื้อไวรัสโควิด-19 นับว่าเป็นผลิตภัณฑ์สีทาภายในรายแรก ที่กำจัดเชื้อโคโรนาไวรัส 99.99%  ภายใน 2 ชั่วโมง โดย เบเยอร์ฯได้ทำงานร่วมกับสถาบันสุขภาพ ไวโรโลจี (Virology) จากประเทศอังกฤษ ในการทดสอบประสิทธิภาพ และได้รับการรับรองว่า เบเยอร์ชิลด์ แอนตี้ไวรัส โกลด์ไอออน มีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อโควิด-19ได้จริง

          และเพื่อเป็นการย้ำความมั่นใจให้กับผู้บริโภคว่า"เบเยอร์ชิลด์ แอนตี้ ไวรัส โกลด์ ไอออน” สามารถกำจัดเชื้อโควิด-19 ได้ผลจริง และมีความปลอดภัย เบเยอร์ฯ ยังได้ผ่านการทดสอบมาตรฐานด้านความปลอดภัย จาก FDA สหรัฐอเมริกา ความปลอดภัย ของสีทาอาคารชนิดภายในขั้นสุด ระดับ (Nearly Zero VOCs Emission) ตามเกณฑ์มาตรฐานกรม สาธารณสุขรัฐแคลิฟอร์เนีย ทำให้มั่นใจได้ว่าปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด

          ดร.วรวัฒน์ ชัยยศบูรณะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท สีเบเยอร์ กล่าวว่า เพื่อก้าวข้ามสถานการณ์ความรุนแรงของโควิด-19 เบเยอร์ฯ มีการปรับเปลี่ยนวิจัย พัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ เบเยอร์ชิลด์ ให้สูงขึ้นรองรับการแก้ปัญหา และกำจัดเชื้อไวรัสโควิด-19 สีเบเยอร์ชิลด์ แอนตี้ไวรัส โกลด์ไอออนซึ่งมีอนุภาคทองคำบริสุทธิ์เล็กระดับ 30 นาโนเมตร ทำให้สามารถทะลุทะลวงผนังเซลล์ที่ห่อหุ้มด้วยความหนาของชั้นไขมัน เข้าไปทำลายสารพันธุกรรม ที่แกนกลางของโควิด-19ได้ มีประสิทธิภาพ การกำจัดสูงถึง 99.99% ด้วยเวลาที่สั้นเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น

          “ไม่เพียงกำจัดเชื้อโคโรนาไวรัส แต่ยังมีประสิทธิภาพ ในการกำจัดเชื้อไวรัส H1N1 และไวรัส ที่ก่อให้เกิดโรคมือเท้าปาก ที่สำคัญยังผ่านการทดสอบและรับรองโดยสถาบันสุขภาพ Virology ประเทศ อังกฤษ ซึ่งเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงด้านไวรัสวิทยา ระดับโลก อีกด้วย”

          สำหรับ เทคโนโลยี โกลด์ ไอออน (Gold Ion) ที่ สีเบเยอร์ฯ เลือกมาพัฒนานั้นเป็นอนุภาคทองคำบริสุทธิ์มีความเสถียรกว่า และปลอดภัยกว่า แร่เงิน (Silver Ion) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแบบเดิมๆ ปัจจุบันเทคโนโลยีล่าสุด โกลด์ ไอออน (Gold Ion) ถูกนำมาใช้อย่างแพร่ หลายในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ อาหาร เครื่องสำอาง และวงการแพทย์ที่นำมาใช้รักษาอาการอักเสบต่างๆ

          ด้านนายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีการแพร่ระบาดทั่วโลก รวมถึงการแพร่ระบาดในประเทศไทยจนถึงขณะนี้ ทำให้มนุษย์เราต้องหันกลับมาใส่ใจเรื่องสุขอนามัย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตไม่ละเลยการป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากโรคภัยต่างๆ มากขึ้น

          ดังนั้น ทีโอเอ ในฐานะผู้นำนวัตกรรมสีทาอาคารและผลิตภัณฑ์ปกป้องพื้นผิวแบบครบวงจรในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน จึงตระหนักถึงความสำคัญ ด้านสุขอนามัยที่ดี สามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่ที่บ้านของเราเอง ล่าสุดจึงได้ทำการศึกษาและพัฒนา ‘นวัตกรรมสีทาบ้าน New Normal มาตรฐานใหม่เพื่อช่วยปกป้องผู้อยู่อาศัยในบ้านจากไวรัสโควิด-19 ด้วยนวัตกรรมสีทาอาคาร สีทาภายใน อนุภาค Silver Nano Technology ระดับนาโน ที่มีอยู่ในสีทาภายในของ TOA ในแบรนด์สี SuperShield Duraclean A Plus, SuperShield Duraclean, TOA Shield-1 Nano, สีทนได้ สี 4SEASONS รวม 12 รุ่น ด้วยกลไกการทำงานของแร่เงินจำนวนมาก จะส่งประจุอิออน 1+จึงทำหน้าที่เข้าดักจับ ยับยั้ง และกำจัดไวรัสตระกูลโคโรนาได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว จากผล การทดสอบกับ Porcine Coronavirus (Porcine epidemic diarrhea virusว PEDV)  โดยคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล

          นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติพิเศษอื่นๆ ที่ผ่านมาตรฐานการรับรองจากสถาบันต่างๆ ว่าปลอดภัยต่อสุขภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ไม่มีกลิ่น และสารระเหยเป็นพิษ (Nearly zero VOCs) ตาม มาตรฐานการรับรองฉลากเขียวทั้งในประเทศไทยและสิงคโปร์, เช็ดล้างทำความสะอาดคราบสกปรกได้ (Selfcleaning Technology), เทคโนโลยี Air Detoxify  ช่วยขจัดสารก่อมะเร็ง (ฟอร์มาลดีไฮด์) อากาศภายในบ้าน ตลอด 24 ชั่วโมง, ช่วยยับยั้งแบคทีเรียและเชื้อราได้สูงสุดถึง 99.99% ด้วยเทคโนโลยีจาก Microban, U.S.A. ผ่านการรับรองมาตรฐานอาคารเขียว (Green Building) ทั้งอาคารเขียวของไทย (TREES) และประเทศสหรัฐอเมริกา (LEED) รวมทั้งยังเป็นสีภายในที่โรงพยาบาลชั้นนำเลือกใช้

          ขณะเดียวกัน ค่าย “สีนิปปอนเพนต์” ก็เป็น อีกหนึ่งค่ายสีทาอาคาร ที่มีการออกผลิตภัณฑ์สีทา อาคารป้องกันและกำจัดไวรัสโควิด-19 ออกสู่ตลาด ภายใต้ชื่อ “สีนิปปอนเพนต์ แอร์แคร์” โดย นายวัชระศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาหรือ โควิด-19 ส่งผลทำให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจและดูแลสุขภาพตนเอง รวมถึงปรับตัวเพื่อตอบรับวิถีใหม่ หรือ New Normal มากยิ่งขึ้น ส่งผลให้สินค้าและบริการที่เกี่ยวเนื่องกับสุขภาพมีการเติบโตเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้จากตลาดกลุ่มสีเพื่อสุขภาพ ที่พบว่ามีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้งในกลุ่มผู้บริโภคทั่วไปและผู้ประกอบการ

          ทั้งนี้ที่นโยบายของ นิปปอนเพนต์ ให้ความสำคัญกับสุขภาพและต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกค้า"นิปปอนเพนต์“จึงทำการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ สร้างความต้องการให้กับตลาดและตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งในกลุ่ม Business to Business (B2B) และ Business to Consumer (B2C) ซึ่งเป็นที่มาของ “สีนิปปอนเพนต์ แอร์แคร์” ผลิตภัณฑ์สีทาภายใน สำหรับบ้านและอาคาร

          โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์สีเพื่อสุขภาพ ของ สีนิปปอนเพนต์ แบ่งออกเป็น 4 นวัตกรรม ประกอบด้วย 1. Air Anti ด้วยเทคโนโลยี Silver-Ion ช่วยยับยั้งเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย  2. Air Fresh ด้วยเทคโนโลยี AntiFormaldehyde with Active Carbon นวัตกรรมสีฟอกอากาศ เปลี่ยนสารพิษที่อันตรายภายในบ้าน  และกลิ่นไม่พึงประสงค์ให้เป็นอากาศบริสุทธิ์ สามารถ ดูดซับสารฟอร์มาลดีไฮด์ ได้มากกว่า 80% ภายใน  48 ชั่วโมง  3. Air Wash ด้วยเทคโนโลยี Anti-Stain  สามารถเช็ดล้างขัดถูได้ดีเยี่ยม และ 4. Zero VOCs ไร้กลิ่นฉุน ไร้สารระเหยตกค้าง ปลอดภัยต่อคุณและคนในครอบครัว ทาแล้วสามารถเข้าอยู่ได้ทันที

          “สีนิปปอนเพนต์ แอร์แคร์ ถือเป็นนวัตกรรมที่นิปปอนเพนต์ ที่มีการพัฒนาและนำเสนอเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะในปัจจุบันที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพและความปลอดภัยการใช้ชีวิตบนวิถีใหม่ หรือ New Normal การเลือกใช้สินค้าและบริการ เพื่อสุขภาพเพื่อตนเองและครอบครัวจึงเพิ่มสูงขึ้น ด้วยคุณสมบัติที่สามารถยับยั้งเชื้อไวรัส แบคทีเรียและ เชื้อราได้ดี ไม่มีส่วนผสมของโลหะหนัก และกำจัดสารฟอร์มาลดีไฮด์ซึ่งเป็นสารระเหยที่มีอยู่ทั่วไปทั้งจากเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้อุปกรณ์สำนักงานต่างๆ และเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการ Sick Building Syndrome  ซึ่งการเลือกใช้สีที่มีคุณสมบัติพิเศษ จะช่วยให้ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ” นายวัชระกล่าว

          !!!...การปรับกลยุทธ์ และออกผลิตภัณฑ์สีทาภายใน อาคาร ที่มีคุณสมบัติป้องกันและกำจัดเชื้อไวรัสโควิด-19 และเชื้อแบคทีเรียของผู้ผลิตและจำหน่ายสีรายใหญ่ในปี2563 ที่ผ่านมา ถือเป็นการเริ่มต้นของ การกลับมาขยายตลาดในกลุ่มผู้บริโภคโดยตรงมากขึ้นด้วยการเน้นเจาะและลงลึกถึงพฤติกรรม และเทรนด์รักสุขภาพและสิ่งแวดล้อม รวมถึงไลฟ์สไตล์ของ ผู้บริโภคทั้งนี้ การปรับกลยุทธ์ของค่ายสีทาอาคารดังกล่าวมีปัจจัยหลักมาจากการชะลอการลงทุนพัฒนาโครงการอาคารสูง อาคารชุดพักอาศัย และการขยายการลงทุนต่างๆ ของภาคเอกชนในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา

          โดยเฉพาะในปี 2563 ซึ่งเรียกได้ว่า บริษัท อสังหาริมทรัพย์ แทบหยุดการลงทุนโครงการใหม่ๆ กันเลยทีเดียว หลังจากเกิดภาวะการหดตัวในตลาด อสังหาฯ และภาวะโอเวอร์ซัปพลายในตลาดคอนโดฯ ซึ่งส่งผลให้ยอดจำหน่ายสีทาอาคาร ในกลุ่มโครงการจัดสรรและคอนโดฯหดตัวอย่างรุนแรงตามไปด้วย

          ดังนั้น ทางออกของผู้ผลิตและจำหน่ายสีทาอาคารคือ การกระตุ้นให้เกิดการใช้สีในกลุ่มผู้บริโภค โดยตรง โดยเฉพาะกลุ่มบ้านเก่าปรับปรุงใหม่ และตลาดรีโนเวต ซึ่งได้รับปัจจัยบวกจากนโยบายการ Work From Home ที่ต้องทำงานจากที่บ้าน และต้องการปรับปรุงห้องทำงานในบ้านให้มีความสะดวกรองรับ ไลฟ์สไตล์การทำงานของผู้บริโภค หลังจากที่ต้องการใช้เวลาในการอยู่อาศัยภายในบ้านหรือที่อยู่อาศัย มากขึ้น

          นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ยังส่งผลให้ผู้บริโภคใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหรือที่อยู่อาศัยมากขึ้น จึงส่งผลต่อความต้องการปรับปรุงที่อยู่อาศัยและพื้นที่อยู่อาศัยให้รองรับของพฤติกรรมของสมาชิกในครอบครัวมากขึ้น เช่น ห้องเรียนเด็กๆ ที่ต้องปรับเปลี่ยนการเรียนการสอน จากสถานศึกษามาเรียนผ่านระบบออนไลน์ที่บ้าน ห้องทำงานของพ่อ-แม่ซึ่งต้อง Work From Home  และห้องพักผ่อนของปู่ย่า -ตายาย ซึ่งต้องมีการปรับปรุงและทาสีใหม่

          การออกผลิตภัณฑ์สีใหม่ที่มีคุณสมบัติในการป้องกันและกำจัดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียของค่าย สีต่างๆ ต้องยอมรับว่าได้รับการตอบรับที่ดีมากจาก กลุ่มผู้บริโภคทำให้ยอดขายของกลุ่มสีเพื่อสุขภาพ ของแต่ละค่ายมีอัตราการเติบโตอย่างมาก ซึ่งสะท้อนได้จากผลการดำเนินงานในปี 2563 ของค่ายสีนิปปอนเพนต์ฯ

          โดยผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ฯ ระบุว่า ปี 2563 ตลาดสีทาบ้านและอาคารมูลค่า 25,000  ล้านบาทหดตัว 5-10% ขณะที่ดีมานด์ลดลง 15% เนื่องจากวิกฤตโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวิกฤตโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อตลาดรวมสีทาบ้านและอาคาร แต่ก็พบว่า กลุ่มสี เพื่อสุขภาพ กลับมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดส่งผลให้มีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 1,000-1,500 ล้านบาท และคาดว่า ครึ่งแรกของปี 2564 ตลาดสีสีทาบ้านและอาคารจะชะลอตัวเหมือนกลางปี 2563 แต่หากสถานการณ์ ไม่ยืดเยื้อ ครึ่งปีหลังมี “วัคซีน” จะเป็นปัจจัยทำให้ตลาดกระเตื้องขึ้น คาดสิ้นปีจะกลับมาขยายตัวได้ดี

ที่มา: