แบงก์รัฐพร้อมรับมือ ลูกค้าอ่วมโควิดแห่ กู้-พักหนี้

15 ม.ค. 2564 1,003 0

           การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ส่งผลกระทบต่อลูกหนี้ในระบบ ทำให้สถาบันการเงินทั้งรัฐและเอกชน ต้องออกมาตรการช่วยเหลือต่อเนื่อง โดยเปิดให้ลูกหนี้ใช้สิทธิเข้าโปรแกรมการพักชำระหนี้ในเงื่อนไขที่แตกต่างกันของแต่ละธนาคาร

          ธนาคารออมสินคาดการณ์ว่าจะมีลูกหนี้ของธนาคารเข้าร่วม โครงการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ จากโควิด-19 ระลอกใหม่ ทั้งในส่วนลูกหนี้ใน 28 จังหวัดพื้นที่สีแดง และลูกหนี้ทั่วประเทศ ราว 30% ของฐานลูกค้าประมาณ 5 ล้านราย หรือประมาณ 1.5 ล้านราย

          นอกจากโครงการพักหนี้แล้ว ออมสินยังออกมาตรการเติมสภาพคล่อง ผ่านโครงการ สินเชื่อเติมพลังฐานราก วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะมีลูกค้าเข้าร่วม 2-3 แสนราย และ สินเชื่อเอสเอ็มอี “มีที่มีเงิน” ที่ขยายวงเงินเพิ่มอีก 5 พันล้านบาท คาดว่า จะช่วยเหลือลูกค้าเอสเอ็มอีที่ต้องการ สภาพคล่องได้หลายพันราย

          วิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการ ผู้อำนวยการ ธนาคารออมสิน ชี้แจงในรายละเอียดว่า มาตรการแรก จะเข้าไปช่วยลูกค้าเดิมที่อยู่ใน 28 จังหวัดเสี่ยง ประมาณ 1.9 ล้านบัญชี หรือลูกค้าทั่วไป คือ ถ้ามีปัญหาเรื่องการชำระหนี้สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือ ได้ แต่มาตรการรอบนี้จะพิจารณาเป็นรายๆ แตกต่างจากปีที่แล้วที่ทำทั้งประเทศ โดยพร้อมพักหนี้เงินต้นดอกเบี้ย ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะติดต่อธนาคาร หรือเลือกจะจ่ายอย่างไร ผ่านแอพพลิเคชั่น MyMo

          มาตรการที่สอง การให้สินเชื่อ เสริมสภาพคล่อง ถ้าเป็นบุคคลทั่วไปจะมีสินเชื่อ เสริมพลังฐานรากวงเงิน 5 หมื่นบาท ดอกเบี้ย 0.35% ต่อปี ไม่ต้องมีผู้ค้ำหรือหลักทรัพย์ ค้ำประกัน มีวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท สามารถยื่นขอได้ถึงสิ้นเดือนมิ.ย.2564 โครงการนี้ ทำธุรกรรมผ่านแอพพลิเคชั่น MyMo เช่นเดียวกัน

          มาตรการที่สาม  การเสริมสภาพคล่องให้ เอสเอ็มอีผ่านโครงการมีที่มีเงิน โดยผู้กู้สามารถ เอาทรัพย์สินมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันได้ 70%ของมูลค่าหลักทรัพย์ มีระยะเวลาชำระคืน 3 ปี โดยไม่ต้องวิเคราะห์รายได้ มีวงเงิน 5 พันล้านบาท

          วิทัย บอกว่า หากสถานการณ์โควิด-19 ยังยืดเยื้อ ธนาคารออมสินและแบงก์รัฐ พร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือ โดยออกมาตรการเข้าไปเพิ่มเติม ฐานะและสภาพคล่องแบงก์รัฐไม่มีปัญหา รองรับได้เพียงพอ

          “เราแบงก์รัฐไม่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องและมีฐานะการเงินแข็งแรงที่สามารถช่วยลูกหนี้และประชาชนได้ มาตรการเราออกมาต่อเนื่องเป็นรายเดือน ฉะนั้นถ้าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงรุนแรงมากขึ้น เราก็อาจจะขยายโครงการหรือมีมาตรการใหม่ออกมาได้ เช่น มาตรการที่เราออกไปสำหรับ 28 จังหวัด ที่เราออกไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็มีคนแจ้งความประสงค์ผ่านโมบายแบงกิ้งมากกว่า 1 แสนรายแล้ว”

          ฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา ธอส.ได้ออกมาตรการตามความหนักเบาของ ปัญหาไปแล้ว 10 มาตรการ มีลูกค้าเข้าโครงการเป็นมูลหนี้ 5.4 แสนล้านบาท ปัจจุบันมีลูกค้าส่วนใหญ่พ้นมาตรการหรือแข็งแรงแล้ว แต่ยังมีอีกกลุ่มที่ยังอยู่ในโครงการ คิดเป็นมูลหนี้ 1.39 แสนล้านบาท

          ในรอบนี้ธนาคารได้ออกมาตรการสำหรับ ลูกค้าทุกกลุ่ม คือ เงินงวดที่เคยจ่าย 100% สามารถเลือกจ่ายได้ตามกำลัง คือ 25P% และ 75% ของเงินงวด ที่สำคัญคือเงิน ที่ชำระมานั้นแบ่งตัดทั้งต้นและดอกเบี้ย ทำให้ไม่เป็นภาระต่อเดือน และหนี้เงินต้นก็จะลดลงเริ่มลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่น ของธนาคารได้ตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค.2564 เป็นต้นไป

          ธอส.ประเมินลูกค้าที่อยู่ในมาตรการจะมีกลุ่มเปราะบางที่ขยายความช่วยเหลือตลอด คาดว่าจะเข้ามาตรการประมาณ 7 หมื่นกว่าล้านบาท ขณะเดียวกันลูกค้าที่เคยที่เข้ามาตรการและพ้นมาตรการแล้ว แต่ยังแข็งแรงไม่พอ ก็คาดจะเข้ามาตรการอีกประมาณ 5 หมื่นล้านบาท และกลุ่มที่ไม่เคยได้รับผลกระทบก็คาดว่าจะเข้ามาตรการประมาณ 5 หมื่นล้านล้านบาท รวมแล้วประมาณ 2 แสนล้านบาท

          กษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ปัจจุบันธ.ก.ส.ดูแลลูกค้า กว่า 6 แสนครัวเรือน เป็นลูกค้าที่กู้เงิน และมีการเคลื่อนไหวอยู่ 4.2 ล้านครัวเรือน ในจำนวนนี้ มีคนที่เป็นหนี้ก่อนวันที่ 1 เม.ย.2563 จำนวน 3.2 ล้านราย เป็น วงเงิน 1.1 ล้านล้านบาท ได้พักชำระหนี้ไปแล้ว 1 ปี

          ขณะเดียวกันปัจจุบันยังมีลูกหนี้ที่ยังไม่เข้าสู่มาตรการช่วยเหลืออีกเกือบ 1 ล้านราย ดังนั้นหากได้รับผลกระทบก็สามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ ธ.ก.ส.มีมาตรการพักหนี้เงินต้น 1 ปี สำหรับเกษตรกรรายย่อย และ 6 เดือนสำหรับเอสเอ็มอี โดยสามารถติดต่อลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่นหรือผ่านไลน์ของธนาคาร เมื่อลงทะเบียนแล้ว ธนาคารจะติดต่อภายใน 7 วันทำการ

          “ภาระที่เราดูแลเรื่องพักหนี้ 1 ปีเป็นต้นมา เราได้ให้พนักงานไปเยี่ยมเกษตรกร ดูสถานะ เมื่อไปเยี่ยม เราจะรู้ศักยภาพไปต่อได้หรือไม่ ก็จะมีส่วนหนึ่ง ที่ยังมีศักยภาพ และเราก็มี โครงการชำระดีมีคืน เราคืนดอกเบี้ยให้ 20% ไม่เกิน 5 พันบาทต่อราย ถ้าเป็นกลุ่มเกษตรกรจะคืนให้ 10% แต่ไม่เกิน 5 หมื่นบาท โดยเตรียม วงเงินไว้แล้ว 3 พันล้านบาท เริ่มตั้งแต่ต้นปี ถึง 31 มี.ค.นี้”

          ในส่วนของการเติมสภาพคล่องนั้น ธ.ก.ส.มีโครงการสินเชื่อสำหรับเกษตรกรลูกค้า กลุ่มใหม่อีก 7 หมื่นล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 4% ปลอดต้นและดอกเบี้ยใน 3 เดือนแรก ส่วน สินเชื่อคนรุ่นใหม่ก็เตรียมไว้อีก 6 หมื่นล้านบาท และลูกค้าเก่าอีก 1 แสนล้านบาท

          ในส่วนของภาคเกษตรเราตั้งใจจะไปพบทุกคนเพื่อดูแลว่า คนที่มีศักยภาพก็สามารถเข้าร่วมโครงการได้ แต่ถ้าคนที่มีปัญหาก็ไปดูแลเรื่องการปรับปรุงโครงสร้างหนี้หรือกลุ่มที่มีปัญหารุนแรง อาจจะตัดจำหน่ายหนี้ให้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องหนี้เสีย ตามมา ทั้งนี้หลังจากเปิดโครงการชำระดีมีคืนประมาณเกือบ 1 เดือน ได้รับเสียงตอบรับ จากเกษตรกรในกลุ่มที่มีศักยภาพพอสมควร แต่เมื่อเกิดโควิด-19 ระลอกใหม่ อาจจะทำให้การเข้าถึงเกษตรกรยากขึ้น

          “เท่าที่เราเข้าไปสำรวจจะพบว่า เกษตรกรกลุ่มผลิตข้าว เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ มากที่สุด เพราะราคาต่ำ ทำให้การประกันรายได้ เราจ่ายส่วนต่างค่อนข้างสูงกว่าประมาณการไว้ ซึ่งกระทบจากโควิด-19 คือ ผลิตได้ แต่ขายไม่ออก แต่ถ้าเป็นเกษตรกรปลูกพืชอื่น ถือว่ามีผลผลิตที่ดี ยกเว้น ภาคใต้ที่น้ำท่วม”

          วิเรขา สันตะพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน เฉพาะกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่าได้ขอให้สถาบันการเงิน สถาบันการเงิน เฉพาะกิจ และผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน เร่งช่วยเหลือลูกหนี้ เพื่อบรรเทา ผลกระทบจากสถานการณ์ ซึ่งสถาบันการเงิน บางแห่งได้มีการขยายเวลามาตรการช่วยเหลือ ลูกหนี้รายย่อย จากสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 ระลอกใหม่มาก่อนแล้ว ซึ่งธปท. ได้ติดตามและประสานงานให้ผู้ให้บริการทางการเงินเร่งให้ความช่วยเหลือลูกหนี้โดยเร็ว

ที่มา: