เอสซีจี เปิดกลยุทธ์เชิงรุก ฝ่ากระแสความท้าทายยุค New Normal

09 มิ.ย. 2563 1,194 0

 

          “ทุกอย่างมีความไม่แน่นอนสูงในสถานการณ์นี้ เราเห็นทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งที่มีความท้าทาย สิ่งที่ดีคือ สินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ เติบโตอย่างรวดเร็ว แพ็กเกจจิ้งที่ใช้ในการขนส่ง หรือแพ็กเกจจิ้งอาหารจึงเติบโตไปด้วย เราก็ต้องปรับตัวให้ตอบโจทย์ตรงนี้ให้ได้ ต้องทำให้ซัพพลายเชนของเรามีความสามารถในการตอบรับที่ดี ต้องเข้าใจพฤติกรรมในการสั่งซื้อและการบริโภคของแต่ละเซ็กเตอร์ว่าแตกต่างกันอย่างไร ที่สำคัญต้องปรับระบบภายในให้ทัน  โรงงานต้องมีความยืดหยุ่นที่จะตอบโจทย์ให้ได้อย่างรวดเร็ว”



          การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตของคนทั่วโลกจากเดิม สู่ “New Normal” หรือ “ความปกติใหม่” ภาคธุรกิจต้องปรับทั้งวิธีคิดและกระบวนการดำเนินงาน เพื่อคงความสามารถในการแข่งขัน ซึ่ง นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นมีความแตกต่างกันไป จะเห็นได้ว่าธุรกิจแพ็กเกจจิ้งมีการเติบโตที่ดีในสถานการณ์โควิด-19 โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภค



          ส่วนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้าคงทน เช่น ยานยนต์ หรือสินค้าแฟชั่น เริ่มได้รับผลกระทบแล้ว และจะเห็นผลกระทบหนักในระยะถัดไป อีกส่วนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม คือราคาน้ำมันที่ผันผวนจากความต้องการใช้น้ำมันที่ลดลงอย่างมาก เพราะคนชะลอการเดินทางและการท่องเที่ยว ตรงนี้ก็มีผลกระทบกับธุรกิจระดับหนึ่ง



          ขณะที่ผลกระทบในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างยังไม่ชัด แต่ตอนนี้ภาคเอกชนที่เป็นลูกค้าของเอสซีจี ส่วนหนึ่งเริ่มเห็นว่ามีความท้าทาย เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งการก่อสร้างส่วนใหญ่เป็นโครงการในระยะยาว ดังนั้น กำลังซื้อในระยะต่อไปที่มีการส่งมอบโครงการไปแล้วคงมีผลกระทบค่อนข้างมาก สิ่งที่คาดหวังคือ โครงการของภาครัฐจะเข้ามามีส่วนพยุงให้ความต้องการสินค้าซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างดำเนินต่อไปได้ อย่างน้อยจนกว่าสถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลาย



          นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า ขณะที่ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะส่งผลกระทบไปยาวนานแค่ไหน แต่เอสซีจีก็พร้อมปรับตัวรับมือความท้าทายต่างๆ เต็มที่ เพื่อให้ทุกฝ่ายก้าวผ่านวิกฤติที่รุนแรงครั้งนี้ได้ ด้วยการปรับกลยุทธ์เชิงรุก เพื่อเพิ่มความเข้มข้นในการบริหารจัดการใน 5 ด้านหลัก ได้แก่



          1.การบริหารจัดการความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ  มุ่งเน้นเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยในการทำงานของพนักงาน เพื่อป้องกันไม่ให้มีการติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยนำศักยภาพด้านเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยให้พนักงานที่สำนักงานกว่า 90% สามารถทำงานได้จากที่บ้าน



          2.ปรับลดค่าใช้จ่ายและเงินลงทุน โดยเฉพาะส่วนที่ลดได้ทันที เช่น ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง หรือการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่ไม่จำเป็น จากนั้นจะมีการตรวจสอบว่าค่าใช้จ่ายส่วนใดที่สามารถชะลอไว้หรือตัดออกได้ ก็จะตัดออกให้มากที่สุด ขณะที่การลงทุนในโครงการต่างๆ จะพิจารณาอย่างระมัดระวังที่สุด โดยเลือกลงทุนในโครงการที่มีประโยชน์กับธุรกิจจริงๆ หากโครงการใดสามารถชะลอเพื่อรอดูผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19 ได้ ก็จะชะลอไว้ก่อน



          3.จัดลำดับความสำคัญของธุรกิจ โดยเน้นการบริหารจัดการกระแสเงินสดเป็นหลัก พร้อมเน้นการทำงานที่รวดเร็วและยืดหยุ่นในการปรับตัวตามพฤติกรรมและความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้า เช่น การขายผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่ง “เอสซีจี โฮม (SCG HOME)” ที่มีกระแสตอบรับดีจากลูกค้า



          4.นำศักยภาพเทคโนโลยีมาใช้เต็มรูปแบบ ทั้งในขั้นตอนการดำเนินธุรกิจและการทำงาน เพื่อให้การบริหารห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การผลิตจนถึงการส่งมอบโซลูชั่นสินค้าและบริการไปยังลูกค้าทุกกลุ่มมีความสะดวกและปลอดภัย ควบคู่กับการช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนไปได้ เช่น การขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ หรือการผลักดันการใช้บล็อกเชนในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างวางบิล-ชำระเงินกับคู่ธุรกิจให้เพิ่มขึ้น



          และ 5.มองหาโอกาสในตลาดใหม่ เพราะมีอีกหลายประเทศที่ต้องการจะพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศให้เข้มแข็ง เอสซีจีจึงมองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่จะช่วยสร้างความเข้มแข็งเพิ่มเติมให้กับการลงทุนที่มีในปัจจุบัน เพื่อหนุนการสร้างให้ธุรกิจเติบโตได้ในระยะยาวต่อไป



          “ทุกอย่างมีความไม่แน่นอนสูงในสถานการณ์นี้ เราเห็นทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งที่มีความท้าทาย สิ่งที่ดีคือ สินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ เติบโตอย่างรวดเร็ว แพ็กเกจจิ้งที่ใช้ในการขนส่ง หรือแพ็กเกจจิ้งอาหารจึงเติบโตไปด้วย เราก็ต้องปรับตัวให้ตอบโจทย์ตรงนี้ให้ได้ ต้องทำให้ซัพพลายเชนของเรามีความสามารถในการตอบรับที่ดี ต้องเข้าใจพฤติกรรมในการสั่งซื้อและการบริโภคของแต่ละเซ็กเตอร์ว่าแตกต่างกันอย่างไร ที่สำคัญต้องปรับระบบภายในให้ทัน  โรงงานต้องมีความยืดหยุ่นที่จะตอบโจทย์ให้ได้อย่างรวดเร็ว” นายรุ่งโรจน์กล่าว



          นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า แม้วิกฤติการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมาจะมีแนวโน้มคลี่คลายบ้าง แต่เอสซีจียังคงเดินหน้าหาแนวทางใหม่ในการทำงาน เพื่อขับเคลื่อนองค์กรภายใต้ความท้าทาย โดยยึดถือความปลอดภัยของพนักงานเป็นสำคัญ ด้วยการถอดบทเรียนของการทำงานจากที่บ้าน เพื่อพัฒนาสู่ “Hybrid workplace” ซึ่งเป็นการทำงานรูปแบบใหม่ที่มีความยืดหยุ่น ให้พนักงานสามารถปรับตัวเข้ากับบริบทใหม่ ด้วยการเลือกทำงานตามสถานที่ที่บริษัทพิจารณาแล้วว่ามีความปลอดภัย มีการจัดสถานที่แบบ Physical Distancing อย่างเหมาะสม แต่ยังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สะดวก รวดเร็ว ตอบโจทย์กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ และรักษามาตรฐานในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า



          “สิ่งที่เกิดขึ้นดึงพลังงานให้เราโฟกัสทีละเรื่อง เดิมอาจจะคิดไปเรื่อยว่าอยากทำโน่นทำนี่ แต่ตอนนี้ต้องเลือกทำทีละเรื่องตามลำดับความสำคัญ เมื่อก่อนการประชุมอาจจะพูดกันหลายเรื่อง แต่วันนี้ต้องคุยแค่เรื่องที่ต้องตัดสินใจ เป็นการเปลี่ยนจากวิ่งมาราธอนมาเป็นวิ่งผลัด ทำงานได้เร็วขึ้น ตัดสินใจได้เร็วขึ้น แม้สถานการณ์โควิด-19 จะมีผลกระทบมากมาย แต่ก็นำมาสู่การปรับตัวที่ไม่เคยเกิดขึ้น ถ้าเราใช้วิกฤติให้เป็นประโยชน์ เปลี่ยนรูปแบบการทำงานใหม่ อย่าคิดกลับไปเหมือนเดิม ต้องคิดว่าจะเป็นโอกาสขององค์กร และเราต้องไม่ทำให้วิกฤตินี้สูญเปล่า” นายรุ่งโรจน์กล่าว



          นายรุ่งโรจน์ กล่าวปิดท้ายว่า เมื่อโควิด-19 ทำให้ธุรกิจต้องก้าวไปสู่ New Normal อย่างเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งยังต้องเตรียมวางแผนสำหรับ Next Normal ในอนาคตด้วย ดังนั้น การตัดสินใจที่ฉับไวแต่ยืดหยุ่นพร้อมเปลี่ยนแปลง และการเพิ่มประสิทธิภาพให้การดำเนินธุรกิจด้วยเทคโนโลยี ประกอบกับการถอดบทเรียนเพื่อปรับการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งความร่วมมือร่วมใจของพนักงานในการเร่งปรับตัวไปพร้อมกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยขับเคลื่อนให้ธุรกิจสามารถคว้าโอกาสใหม่ๆ พร้อมพาทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องและสังคมรอดพ้นวิกฤตินี้ไปได้ด้วยดี

 

ที่มา: