เรสซิเดนซ์หรู ยึด 'ภูเก็ต'

07 พ.ค. 2567 266 0

       

        บิ๊กอสังหาฯแสนล้าน ดึงเชนโรงแรมโลกบริหาร ดัน 26 โปรเจ็กต์เทียบชั้นไมอามี่-ดูไบ

        หาดลายัน ทำเลทอง        ภูเก็ตฮอตปรอทแตก เชนโรงแรมโลก รุกเจาะตลาดอสังหาฯ แสนล้านบาท ดันราคาที่ดินพุ่ง ไร่ละ 25-100 กว่าล้านบาท ดึงแบรนด์โรงแรมบริหารเรสซิเด้นซ์หรู ผุด 26 โปรเจ็กต์ ดันภูเก็ตแชมป์ Branded Residences ใหญ่ที่สุดในโลก หนุนก้าวสู่ชุมชนนานาชาติ เทียบเคียงเมืองท่องเที่ยวระดับไมอามี่-ดูไบ

       การขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ต กำลังเป็นที่ต้องการสำหรับนักลงทุนต่างชาติ ทั้งยุโรป เช่น เยอรมัน เดนมาร์ก และเอเชีย อย่าง จีน ฮ่องกง และ สิงคโปร์ ยิ่งเฉพาะหลังเกิดภัยสงคราม ทำให้คนรัสเซีย อิสราเอล หนีสงคราม เหมาซื้อวิลล่า เพื่อลงทุนปล่อยเช่าให้คนในชาติตัวเอง รวมถึงการขยายตัวของการท่องเที่ยว ส่งผลให้เกิดการลงทุนในการพัฒนาโครงการใหม่ๆเพิ่มขึ้น ผลักดันให้ราคาที่ดินในภูเก็ตพุ่งสูงถึงไร่ละ 25-100 กว่าล้านบาท

        ปัจจุบันมีโครงการลงทุนใหม่ทั้งจากต่างชาติและกลุ่มผู้พัฒนาอสังหารายใหญ่จากกรุงเทพฯและในพื้นที่ เช่น บมจ.แสนสิริ บมจ. แอสเซทไวส์ บมจ. ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ บจ. บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป บันยันทรี กรุ๊ป กลุ่ม AMAL Group ซึ่งเป็นกลุ่มทุนจากดูไบ เข้ามาลงทุนมิกซ์ยูส ที่ประกอบไปด้วย บ้านพักตากอากาศ คอนโดมีเนียม โรงแรมในภูเก็ต ซึ่ง คอลลิเออร์ส ประเทศไทย ประเมินว่ามีการโครงการเปิดขายใหม่เกือบ 1 หมื่นยูนิต มูลค่าการลงทุนกว่า 1 แสนล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์

         ภูเก็ตผุด 26 Branded Residences

         จากตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ทำให้แบรนด์ระดับโลกต่างกำลังรุกเข้าสู่ภูเก็ตมากขึ้น ผ่านการลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์แบรนด์เนม หรือ Branded Residences ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการบริหารจัดการโดยแบรนด์ดังระดับโลก กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ของกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาฯรายใหญ่ทั้งทุนไทยและต่างชาติ ที่มองเห็นโอกาสในการเปิดตัวโครงการ Branded Residences ในภูเก็ต ซึ่งจะนำแบรนด์โรงแรมชื่อดังมาบริหารควบคู่กับการขายที่พักสำหรับอยู่อาศัย หรือการซื้อเพื่อลงทุน

          ล่าสุด C9 Hotelworks กลุ่มที่ปรึกษาโรงแรมชั้นนำเผยว่าปัจจุบันภูเก็ตขึ้นแท่นตลาดอสังหาริมทรัพย์ เพื่อการพักผ่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลกไปแล้ว เมื่อหลังโควิด-19 นักลงทุนต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามาจับจองอสังหาริมทรัพย์บนเกาะภูเก็ตเพิ่มมากขึ้น จนทำให้ภูเก็ตกลายเป็นตลาด Branded Residences ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในปัจจุบันโครงการอสังหาริมทรัพย์แบรนด์เนม (Branded Residences) มีมูลค่ารวมสูงถึง 80,000 ล้านบาท (ประมาณ 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์คอนโดมีเนียม ซึ่งคิดเป็น 59% ของตลาด มีราคาเฉลี่ยต่อยูนิตอยู่ที่ 11.7 ล้านบาท ในขณะที่ราคาเฉลี่ยของวิลล่าอยู่ที่ 120 ล้านบาท ถึงแม้วิลล่าจะมีสัดส่วนเพียง 6% ของโครงการในตลาดหลัก แต่คิดเป็นมูลค่าถึง 41% ของมูลค่าทั้งหมด สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญวิลล่าในตลาดอสังหาริมทรัพย์หรูที่เกิดขึ้นในภูเก็ต

         ปัจจุบันโครงการ Branded Residences ในภูเก็ตมีทั้งหมด 26 โครงการ 4,258 ยูนิต โดย 17 โครงการในตลาดหลัก จำนวน 3,283 ยูนิต พร้อมขาย เฉพาะในกลุ่มโรงแรม อาทิ บันยันทรี แกรนด์ เรสซิเด้นท์ , อังสนา โอเชี่ยนวิว เรสซิเด้นท์, MGaller ของกลุ่มวีรันดา เป็นต้น มีมูลค่าตลาดรวมของอสังหา ริมทรัพย์ทั้ง 17 โครงการรวมทุกยูนิตอยู่ที่ 80,000 ล้านบาท ในขณะที่มูลค่าขายรวมซึ่งคิดเป็นราคาฐานของยูนิตแต่ละประเภทรวมกัน โดยไม่ต้องคำนึงถึงปริมาณ จะอยู่ที่อยู่ที่ 1,800 ล้านบาท

          นอกจากนี้ยังมีอีกกว่า 975 ยูนิต ใน 9 โครงการที่อยู่ในไปป์ไลน์ในการพัฒนา ซึ่งจะทยอยเปิดตัวในปี 2567-2571 อาทิ อนันตรา เกาะยาวใหญ่ เรสซิเด้นท์และวิลล่า ของกลุ่มทุนภูเก็ต อย่างศรญา ดีเวลลอปเมนท์ จำนวน 6 หลัง ขายหลังละประมาณ 200 ล้านบาท โครงการ The Standard Residences Phuket Bangtao ของ CG Capital ซึ่งเป็น Private Equity ของตระกูลจิราธิวัฒน์ และกลุ่มแสนสิริ, The Sky Series ของกลุ่มศรีพันวา, มีเลีย ภูเก็ต กะรน เรสซิเดนท์ ของ มิชาริ กรุ๊ป ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนและฮ่องกง โครงการ The Forest by YOO Hotel , Wyndham Grand Phuket หาดสุรินทร์, เป็นต้น

          ราคาที่ดินพุ่งดันลงทุนสู่ลักชัวรี

          นายบิลล์ บาร์เน็ตต์ กรรมการผู้บริหาร C9 Hotelworks เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า แนวโน้มสำคัญหลังโควิด ผู้พัฒนาโรงแรมจำนวนมากหันมาใช้รูปแบบการลงทุนผสมผสานหรือ มิกซ์ยูส และ Branded Residences เนื่องจากราคาที่ดินบนเกาะภูเก็ตพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อันเนื่องมาจากความต้องการที่สูง ทำให้รูปแบบทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป ส่งแรงกดดันต่อการพัฒนาธุรกิจโรงแรม ให้จำเป็นต้องรวมอสังหาริมทรัพย์ไว้ในโครงการ เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงขึ้น

         แบรนด์ระดับโลกที่เข้าสู่ตลาดได้แก่ Rosewood และ The Standard ถือเป็นบทบาทต่อไปของอสังหาริมทรัพย์ระดับหรูในภูเก็ต รวมถึงการเปิดตัว การ์เดนส์ ออฟ เอเดน ของกลุ่ม AMAL Group บนพื้นที่ติดทะเลกว่า 73 ไร่ มูลค่าการลงทุน 1.1 หมื่นล้านบาท เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์สีเขียวที่ได้รับทุน DPD Invest จากดูไบ การพัฒนาโครงการของบันยันทรี ที่ได้ปรับกลยุทธจากเน้นธุรกิจโรงแรมในลากูน่า ภูเก็ต มาพัฒนาโครงการอสังหาแบรนด์หรูในพื้นที่ใกล้ลากูน่า ภูเก็ต มูลค่าเงินลงทุน 7.2 หมื่นล้านบาท

         ปัจจุบันราคาคอนโดมีเนียมแบรนด์เนม มีราคาขายเฉลี่ยต่อตรม.อยู่ที่ 160,734 บาท และวิลล่า จะอยู่ที่ 179,260 บาทต่อตรม.การเข้ามาของแบรนด์ดังเหล่านี้กำลังจะสร้างศูนย์กลางระดับโลกสำหรับอสังหาริมทรัพย์หรูและแม้ว่าเศรษฐกิจของภูเก็ต ซึ่งเคยพึ่งพิงการท่องเที่ยวอย่างมาก กำลังฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่ภาคอสังหาฯกำลังจะขับเคลื่อนภูเก็ตสู่การเป็นชุมชนนานาชาติ จากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นจากกลุ่มผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ระดับบนทั้งชาวไทยและต่างชาติที่ต้องการย้ายมาพำนักบนเกาะภูเก็ต หรือเชื่อมั่นว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบรนด์ดังเป็นการลงทุนที่ปลอดภัย เราจะเห็นปัจจัยสำคัญ คือ การเพิ่มขึ้นของจำนวนโรงเรียนนานาชาติในภูเก็ตที่ปัจจุบันมีอยู่ 13 แห่ง คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้

        นอกจากนี้ปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นความต้องการอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตหลังโควิด-19 คือ การเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานทั่วโลก ซึ่งผมมองว่า เทรนด์การย้ายถิ่นฐานทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ทางการเมือง ประกอบกับแนวโน้มวิถีการทำงานแบบ work-from-anywhere และสังคมผู้สูงอายุที่เกษียณอายุเร็วขึ้นหรือเลือกใช้ชีวิตในสถานที่พักผ่อน ยิ่งส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยในภูเก็ตเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวและการลงทุนจากต่างประเทศของรัฐบาลไทย เช่น การยกเว้นวีซ่า โปรแกรมวีซ่าระยะยาว และโปรแกรม Thailand Elite ยิ่งช่วยกระตุ้นให้ภูเก็ตกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนและผู้มองหาที่อยู่อาศัย

         ขณะเดียวกันเสถียรภาพการซื้อขายโรงแรมในภูเก็ต กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากธนาคารไทยชะลอการปล่อยสินเชื่อในช่วงวิกฤตโควิด-19 ก็ได้กลับมาปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการโรงแรมใหม่ (greenfield projects) อีกครั้ง สาเหตุหลักมาจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตมีการซื้อขายอย่างคึกคักและราคาค่าเช่าพุ่งสูงขึ้น นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จึงหันมาผสมผสานธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์โดยหวังว่าการใช้แบรนด์ดังจะช่วยเพิ่มมูลค่าการขายได้ โดยโครงการ Branded Residences ของกลุ่มโรงแรม จะพบว่า วินด์แฮม (Wyndham) เป็นแบรนด์ที่มีจำนวนยูนิตสูงสุดในตลาดหลัก Branded Residences ของภูเก็ต โดยมีจำนวน 1,978 ยูนิต ครอบคลุม 7 โครงการ คิดเป็นสัดส่วน 46%

         หาดลายัน ทำเลทอง

         นายบิลล์ กล่าวต่อว่า สำหรับ 10 ทำเลยอดนิยมสำหรับ Branded Residences หากเทียบกับจำนวนยูนิต รวมทั้งโครงการที่มีอยู่ในตลาดหลักและที่กำลังพัมนาในไปป์ไลน์ จะพบว่า หาดลายัน กลายเป็นทำเลชั้นนำในตลาดที่อยู่อาศัย Branded Residences ของภูเก็ต โดยมีส่วนแบ่งตลาด 31% ด้วยจำนวน 1,322 ยูนิต ใน 4 โครงการ ตามมาด้วยหาดกมลา ครองตลาด 15% และหาดบางเทา ครองตลาดอยู่ที่ 14% ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยต่อตรม.เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนสำหรับ Branded Residences โดยเฉพาะวิลล่า ซึ่งบ่งชี้แนวโน้มตลาดของการประเมินมูลค่าโครงการระดับพรีเมียม สำหรับอสังหาริมทรัพย์ลักชัวรีและขนาดใหญ่ขึ้น

          โดยโครงการ Branded Residences ในตลาดหลักของภูเก็ต จะแบ่งเป็น “วิลล่า” มูลค่าตลาด 3.19 หมื่นล้านบาท ซึ่งวิลล่าที่มีแบรนด์โดดเด่น อยู่ที่ขนาดกว้างตั้งแต่ 3 ห้องนอนขึ้นไป มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 179,260 บาทต่อตรม. ส่วน “คอนโดมีเนียม” มูลค่า 4.66 หมื่นล้านบาท โดยคอนโดมีเนียมทุกประเภทยูนิต ราคาขายเฉลี่ยต่อตรม.อยู่ที่ 160,734 บาท โดยมีพื้นที่สร้างเฉลี่ย 68 ตรม.

          อย่างไรก็ตามความนิยมในโครงการที่พักมีแบรนด์ สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงความต้องการของผู้ซื้ออย่างชัดเจน คาดว่าในอนาคต นอกจากจะมีแบรนด์โรงแรมเพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังจะมีแบรนด์นอกเหนือวงการโรงแรมเข้ามาผสมผสานด้วย เช่น แบรนด์แฟชั่น แบรนด์ รถยนต์ และแบรนด์ร้านอาหารต่าง ๆ ด้วยปริมาณโครงการที่พักแบรนด์ระดับรีสอร์ทที่พุ่งสูง ภูเก็ตได้กลายเป็นตลาดระดับพันล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบเคียงกับเมืองท่องเที่ยวระดับแนวหน้าอย่างไมอามี่และดูไบ นายบิลล์ กล่าวทิ้งท้าย

          ทุนไทย-เทศ รุกลงทุนขายเศรษฐี

        นายสจ๊วต เรดดิ้ง กรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มบันยัน กล่าวว่า กลุ่มบันยัน อยู่ระหว่างพัฒนาโครงการแบรนด์เรสซิเดนซ์ใหม่ภายในลากูน่า ภูเก็ต ประกอบไปด้วย บันยันทรี ลากูน พูลวิลล่า วิลล่าชั้นเดียว ทั้งแบบ 3 ห้องนอน ถึง 5 ห้องนอน บันยันทรี เรสซิเดนซ์ บีช วิลล่า บันยันทรี เรสซิเดนซ์ บีช เรสซิเดนซ์ เป็นคอนโดมีเนียมหรู เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการมองหาไลฟ์สไตล์หรูหราในภูเก็ต ซึ่งภูเก็ตเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางระดับลักชัวรี่ของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และจากการศึกษาของ Savills Research พบว่าภูเก็ตจัดอยู่ในอันดับ 4 ของจุดหมายปลายทางระดับโลก ที่มีแบรนด์ชั้นนำมาพัฒนาและบริหารโครงการเรสซิเดนซ์มากที่สุด และแบรนด์บันยันทรี ได้รับการจัดอันดับให้เป็นแบรนด์ที่มีผู้สนใจต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยมากที่สุดอันดับ 5 ของโลก การเปิดตัวเรสซิเดนซ์จึงเป็นโอกาสทางธุรกิจ

         นายดิฐวัฒน์ อิสสระ กรรมการ บริษัท ชาญอิสสระ เรสซิเดนซ์ จำกัด กล่าวว่าภูเก็ตกำลังจะก้าวเข้าสู่การเป็น World Class Investment Destination ของนักลงทุนไทยและต่างชาติที่สำคัญ และจากภาพรวมการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตที่ฟื้นตัว ทำให้ภาคธุรกิจอสังหาฯ โรงแรม เร่งปรับตัว พร้อมพัฒนาโปรดักส์ที่อยู่อาศัยทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศ โดยเฉพาะบ้านพักตากอากาศซึ่งค่อนข้างได้รับความสนใจซื้อจากเศรษฐี-นักลงทุน ทั้งคนไทยและต่างชาติอย่างมาก ทำให้ล่าสุดศรีพันวา ภูเก็ต เดินหน้าเปิดที่ดินส่วนเรสซิเดนซ์ผืนสุดท้ายของโครงการจำนวนกว่า 2 ไร่ ทุ่มงบ 1,000 ล้านบาท ปั้นเวิลด์คลาส ลักชัวรีวิลล่า The Sky Series เรสซิเดนซ์ 4 หลังสุดท้ายภายในโครงการ ศรีพันวา ภูเก็ต ขายราคาเริ่มต้นหลังละ 220 ล้านบาท และมีแผนพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส บนเกาะภูเก็ตรูปแบบมิกซ์ยูสโปรเจ็กต์ที่ 2 แบรนด์ศรีพันวาในปี 2567 ทั้งโรงแรมหรูและวิลล่าบนที่ดินกว่า 70 ไร่ ที่ เชิงทะเลทำเลศักยภาพกลางชุมชนใหญ่ใกล้เซ็นทรัลมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท

ที่มา: