อาคม จ่อเพิ่มยากระตุ้นเศรษฐกิจ
เอกชนชูเปิดประเทศท่องเที่ยวพุ่งเงินสะพัด
เอกชนหนุนสุดตัวเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว 1 พ.ย. เชื่อช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายท่องเที่ยว คาดหากมีการจัดโปรโมชันดีๆ 2 เดือน นักท่องเที่ยวเพิ่ม 2 แสนราย เงินสะพัด 2 หมื่นล้าน “อาคม” แย้มสัปดาห์หน้ารอลุ้นข่าวดีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโค้งสุดท้ายคาดคืนชีพ “ช้อปดีมีคืน”-ต่อเวลาคนละครึ่ง
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า จากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้ประกาศเปิดประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้เป็นต้นไป โดยให้นักท่องเที่ยวฉีดวัคซีนครบโดสจาก 10 ประเทศเข้าประเทศไทยได้ไม่ต้องกักตัวนั้น ถือเป็นสัญญาณที่ดี เพราะจะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ โดยในส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของกระทรวงคลังที่กำลังดำเนินการมีโครงการคนละครึ่ง และยิ่งใช้ยิ่งได้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ส่วนจะมีมาตรการใดเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้น ขอให้ติดตามสัปดาห์หน้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) อยู่ระหว่างเตรียมมาตรการเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยช่วงปลายปีนี้ ซึ่งมีความเป็นไปได้มากที่จะนำมาตรการช้อปดีมีคืน กลับมาช่วยกระตุ้นใช้จ่าย เพื่อนำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภงด.) ตามข้อเสนอของภาคเอกชน โดยมีเป้าหมายประชาชนเข้าร่วมโครงการตามฐานผู้เสียภาษีราว 4 ล้านคน ซึ่งจะพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยเฉพาะช่วงเดือน ธ.ค.2564-ม.ค.2565 ซึ่งจะมีการจับจ่ายช่วงเทศกาลปีใหม่ ส่วนการเติมเงินคนละครึ่งต่อเนื่องก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2565 ซึ่งกระทรวงการคลังได้ตั้งเป้าว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ที่ 4-5%
ด้าน นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงนโยบายรัฐบาลที่ประกาศเดินหน้าเปิดประเทศไทย ว่าขอสนับสนุนนโยบายดังกล่าวที่เป็นนโยบายที่มาถูกทิศถูกเวลา เพราะประเทศไทยมีความจำเป็นที่ต้องดำเนินการในเรื่องนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกเริ่มมีการฟื้นตัวและราคาน้ำมันได้เริ่มสูงขึ้น ดังนั้น หากไม่ดำเนินการเปิดประเทศก็จะได้รับผลกระทบในแง่ต้นทุนที่สูงขึ้นแต่ไม่มีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องการให้รัฐบาลสื่อสารถึงแนวทางปฏิบัติให้ชัดเจนถึงการเปิดประเทศเพื่อป้องกันความสับสน
“หลายๆประเทศเริ่มเปิดรับการท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว และจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ประเทศไทยคงไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ แต่อยากให้บทบาทรัฐในการสื่อสารให้ชัดเจนว่า 1 พ.ย.นี้จะเปิดแบบใด พื้นที่สีแดงเปิดอย่างไร อุตสาหกรรมใด อาชีพใดที่ต้องเปิด หรือเปิดจำหน่ายแอลกอฮอล์มากน้อยเพียงใด ฯลฯ เมื่อชัดเจนไม่ให้สับสน เพราะที่ผ่านมาการสื่อสารรัฐบาลและเอกชนมีปัญหาตลอดเวลา เวลานี้จะไปจังหวัดภูเก็ตก็อีกมาตรการหนึ่งในการเข้าภูเก็ต พอจะไปเชียงใหม่ก็ปฏิบัติอีกแบบมาตรการหนึ่ง เกิดความสับสนของนักเดินทางและผู้ประกอบการในพื้นที่”
นายสุพันธุ์ กล่าวต่อว่า บางประเทศมองว่าไทยยังไม่พร้อม เพราะมีอัตราการติดเชื้อรายใหม่ๆ ระดับหมื่นคนต่อวัน แต่ตนเห็นว่าไม่ควรจะไปเน้นเรื่องจำนวนคนติดเท่าใดต่อวัน เพราะโควิด-19 จะอยู่กับคนไทยไปอีกนาน ซึ่งขณะนี้ทิศทางผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 หายกลับมาทำงานปกติมีมากขึ้นต่อเนื่อง จากการที่รัฐบาลได้เร่งฉีดวัคซีนป้องกันที่มากขึ้น ขณะที่ทั่วโลกก็เริ่มมีเทคโนโลยีในการรักษาใหม่ๆ ประกอบด้วยทั้งวัคซีนและยารักษาหลังติดเชื้อ
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยกล่าวว่า เป็นสัญญาณดีที่นายกรัฐมนตรีออกมาประกาศสร้างความชัดเจน เพราะจะช่วยทำให้ผู้ประกอบการและนักเดินทางได้รู้ล่วงหน้าและมีการเตรียมตัวที่ดีขึ้น โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาภายใน 2 เดือน (พ.ย.-ธ.ค.) 50,000-100,000 ราย และน่าจะมีเงินสะพัดเพิ่มขึ้นอีก 5,000-10,000 ล้านบาท และถ้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดโปรโมชันกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างเข้มข้นขึ้นอีก อาจทำให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีก 150,000-200,000 ราย ส่งผลให้มีเงินสะพัดจากภาคการท่องเที่ยวเพิ่มอีก 15,000-20,000 ล้านบาท และมีผลทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้อีก แต่ยังคงอยู่ในกรอบ 0-1% ตามที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้คาดการณ์ไว้
“สิ่งสำคัญในขณะนี้คือการสร้างความเชื่อมั่นโดยการสื่อสารไปยังประเทศต่างๆ ถึงกระบวนการการเดินทางเข้าประเทศที่เป็นมาตรฐานสากลขณะที่มาตรการ COVID FREE SETTING ของภาครัฐต้องปรับให้เหมาะสมกับสถานประกอบการต่างๆ เพื่อให้ปฏิบัติตามได้ ทั้งการรับวัคซีนครบ 2 เข็ม ตรวจ ATK ตามกำหนด ที่สำคัญคือผู้ประกอบการและประชาชนจะต้องมีวินัยทำให้การเปิดประเทศ โดยหอการค้าไทยเสนอการใช้ Digital Health Pass หรือการเชื่อมโยงข้อมูลการฉีดวัคซีน การตรวจหาเชื้อของนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ากับหมอพร้อม หรือกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ไทยสามารถรองรับปริมาณนักเดินทางที่เพิ่มขึ้น”
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ