'อัลติจูด'เดินหน้าแต่งตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ปี67หวังระดมทุนขยายธุรกิจ
นายชยพล หรรรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมตัวความพร้อมนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดว่าจะสามารถยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในไตรมาส 2/2567 และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปี 2567 โดยมีบริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ทั้งนี้บริษัทมีแผนจะนำเงินระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ในครั้งนี้ ไปใช้ในการขยายธุรกิจและเพิ่มศักยภาพใน 2 ส่วน ได้แก่ 1.ใช้สำหรับการลงทุนในการเข้าควบรวม หรือซื้อกิจการ (M&A) ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจหลักเติบโต เช่น ธุรกิจที่ดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนา Application (แอปพลิเคชัน) เกี่ยวกับการลงทุน หรืองานบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, ธุรกิจที่เกี่ยวกับการบริหารงานเช่า หรือธุรกิจที่เกี่ยวกับศูนย์สุขภาพ (Wellness Center) เป็นต้น
2.ใช้เป็นงบสำหรับลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยการเข้าลงทุนซื้อหุ้นในโครงการที่บริษัทรับบริหารอยู่แล้ว จากนั้นจะเปลี่ยนเป็นแบรนด์ของบริษัทมีอยู่แล้วแทน เพื่อสร้างการเติบโต ซึ่งจะทำให้บริษัทได้รับผลตอบแทนที่เร็วขึ้น โดยบริษัทจะพิจารณาผลตอบแทน (Yield) ของแต่ละโครงการก่อนการลงทุน ทั้งนี้ ด้วยจุดแข็งที่บริษัทเป็นผู้รับบริหารโครงการ จะทำให้บริษัทเห็นถึงตัวเลขต่าง ๆ ได้ดี ก่อนการตัดสินใจลงทุน
“นโยบายธุรกิจของเราในอนาคต เราต้องการเป็นแพลตฟอร์มของการพัฒนาอสังหาฯ โดยเป็นทั้งผู้ลงทุนเอง เปิดรับผู้ร่วมทุนทั้งในรูปของเงินลงทุนและที่ดินที่มีศักยภาพ รวมถึงการรับบริหารจัดการเงินลงทุนแบบเทิร์นคีย์ (การจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จ : Turnkey Project) ซึ่งดำเนินการให้ตั้งแต่ศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน การออกแบบโครงการ การว่าจ้างและควบคุมงานก่อสร้าง ตลอดจนจัดหาเงินทุนไปถึงขั้นส่งมอบโครงการให้แก่ผู้ซื้อ” นายชยพล กล่าว
โดยล่าสุดบริษัทเปิดกลุ่มธุรกิจใหม่ บ้านเพื่อการลงทุน (เรสซิเดนซ์ ยูนิต อินเวสท์เม้น) ภายใต้โครงการเดอะ คอลเลคชัน ริเวอร์ฟร้อนท์ บาย อัลติจูด มูลค่าโครงการรวม 2,500 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาจำนวน 11 หลัง บนที่ดินทั้งหมด 5 ไร่ บริเวณถนนราษฎร์บูรณะ ซอย 1 เชื่อมต่อถนนเจริญนคร และพระราม 3 ในระดับราคาต่อเฉลี่ย 270,000 บาทต่อตารางเมตร หรือราคาเริ่มตั้งแต่ 115-515 ล้านบาทต่อหลัง
นายชยพล กล่าวอีกว่า บริษัทวางเป้าหมายรายได้รวมของปี 2566 ไว้ที่ 2,400 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนที่มีรายได้รวมกว่า 1,400 ล้านบาท และในปี 2567 บริษัทคาดว่ารายได้รวมจะเติบโตที่ระดับ 5,000 ล้านบาท จากการทยอยส่งมอบโครงการที่มีในพอร์ตอย่างต่อเนื่อง บริษัทเชื่อว่าจากนี้ไปรายได้จะเติบโตแบบก้าวกระโดดต่อเนื่อง เพราะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงที่บริษัทได้ลงทุน ดังนั้น จากนี้ไปจะมีการเติบโตได้ จากการรับรู้รายได้จากการลงทุนไปในช่วงที่ผ่านมา
ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น
