อสังหาฯ สำรองแผนตั้งรับรบ.ใหม่ดีเลย์

22 มิ.ย. 2566 285 0

 

          SC งัดแพลนสองชะลอลงทุนโปรเจ็กต์ใหม่

          ราคาบ้านจ่อขยับ5%แนะทยอยขึ้นค่าแรง

          ‘เอสซี’ เปิดปัจจัยบวก-ลบ กระทบตลาดอสังหาฯครึ่งหลัง 2566 ชี้แรงหนุนจากท่องเที่ยว ดอกเบี้ยนิ่ง ต้นทุนเริ่มชะลอ เหลือการเมืองไม่นิ่ง ตั้ง รบ.ใหม่ช้า ทุบมู้ดคนซื้อบ้าน กัดฟันคงเป้ารายได้ 2.5 หมื่นล้าน ผุดแผนสำรองตั้งรับ จ่อเลื่อนลงทุนปี’67 แนะขึ้นค่าแรงแบบค่อยเป็นค่อยไป

          นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2566 ดูดีแต่ยังไม่ดีอย่าง คาดการณ์ ครึ่งปีแรก 2566 ดีกว่าช่วงโควิด แต่น่าจะดีกว่านี้ ซึ่งอยู่ที่ความเชื่อมั่นของคน เพราะยังมีหลายปัจจัยลบ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องต้นทุนสูงขึ้นทั้งวัสดุก่อสร้างและการเงิน รวมถึงหนี้ครัวเรือนและหนี้เสียสูงขึ้น ส่วนปัจจัยบวกคือภาคการท่องเที่ยว หลังประเทศเปิด จำนวนนักท่องเที่ยวมากขึ้น ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง สำหรับเอสซีคงเป้ารายได้ปี 2566 ไว้ที่ 25,000 ล้านบาท เติบโต 15% และยังไม่มีปรับแผนการลงทุน เพราะยังมั่นใจและเชื่อว่าตลาดอสังหาฯครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก ดูจากยอดขายไตรมาส 2/2566 กระเตื้องขึ้นกว่าไตรมาส 1/2566 อย่างไรก็ตาม ปัจจัยต้องติดตามครึ่งปีหลัง 2566 คือ นักท่องเที่ยวต่างชาติจะมากขึ้นเรื่อยๆ ดูจากเดือนมีนาคม-เมษายนเริ่มกลับมามากแล้ว รวมถึงสัญญาณต้นทุนการเงินเริ่มเห็นความชัดเจน จากอัตราดอกเบี้ยเริ่มชะลอตัว ถือเป็น 2 ปัจจัยบวก

          “ปัจจัย 3 เป็นเครื่องหมายคำถาม ถึงการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ผมเชื่อว่ามีผลต่อความเชื่อมั่นของคนอย่างมาก ถ้าได้ความชัดเจนและจัดตั้งได้เร็วภายในปีนี้ ความเชื่อมั่นก็มา งบประมาณทุกอย่างจะขับเคลื่อนได้ดี หวังว่าจะชัดเจนในไตรมาส 4 ถ้าล่าช้า สิ่งที่จะเกิด คือ งบประมาณไม่ออก เงินขับเคลื่อนในระบบไม่ได้ ความเชื่อมั่นของคนจะลังเลซื้อของชิ้นใหญ่ๆ” นายณัฐพงศ์กล่าว

          นายณัฐพงศ์กล่าว สำหรับเอสซี วางแผนรองรับเป็นแผนบีและแผนซี หากเหตุการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ ปัจจุบันเอสซีมีรายได้จาก 2 ธุรกิจ คือ ธุรกิจบ้านและคอนโดมิเนียม กับธุรกิจสร้างรายได้ประจำ เช่น ออฟฟิศ โรงแรม ซึ่งทั้ง 2 ธุรกิจต้องใช้เงินลงทุนสูง ถ้ารายได้และสภาพตลาดไม่เป็นตามที่คิด อาจปรับการลงทุน ชะลอเลื่อนบางอย่างไปลงทุนในปี 2567-2568 แทนที่จะลงทุนหลายอย่างในปี 2566 และจากปัจจัยต่างๆ ทำให้นับจากนี้ไป 6 เดือน ต้องมอนิเตอร์สถานการณ์ทุกเดือน โดยบางปัจจัยลบเริ่มอ่อนตัว เช่น ต้นทุนเริ่มนิ่ง แต่อาจส่งผลบวกในปี 2567 ส่วนการเมืองต้องรอความชัดเจน ยิ่งช้ายิ่งคลุมเครือ ยิ่งไม่ชัดเจน ความเชื่อมั่นก็หดหายไป แต่เชื่อว่าไม่ว่ายังไงต้องมีรัฐบาล

          นายณัฐพงศ์กล่าวว่า ปี 2566 ตลาดคอนโด เริ่มกลับมาทั้งตลาดระดับกลางและระดับบน แต่ยังไม่ดีเท่าปี 2562 และดีกว่าช่วงโควิด 3 ปี โดยก่อนโควิดคอนโดขายได้ปีละ 2-3 แสนล้านบาท พอมีโควิดเหลือ 7 หมื่นถึง 1 แสนล้านบาท ปีนี้บริษัทเปิดคอนโดแบรนด์ใหม่ 2 โครงการคือ โค้บบ์ รัชดา-พระราม 9 มูลค่า 6,000 ล้านบาทและโค้บบ์ เกษตร-ศรีปทุม มูลค่า 2,000 ล้านบาท เป็นแคมปัสคอนโดโครงการแรกและดูที่ดินใกล้มหาวิทยาลัย ทั้งทำเลในเมืองและชานเมือง ส่วนตลาดบ้านราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ยังแข็งแรง เปิดโครงการใหม่ ทุกโครงการยังขายได้ดีอยู่ ถ้าตลาดต่ำกว่า 10 ล้านบาท มีปัญหาเรื่องการกู้ แต่ยังมีดีมานด์สูง ซึ่งเอสซีมีสัดส่วนตลาดบ้าน 10 ล้านบาทขึ้นไป อยู่ที่ 70% จึงไม่ได้รับผล กระทบมากสำหรับบ้านต่ำ 10 ล้านบาท

          นายณัฐพงศ์กล่าวว่า ทิศทางราคาบ้านปรับขึ้นทุกปีอยู่ที่แต่ละบริษัท เพราะต้นทุนพัฒนาโครงการแต่ละบริษัทไม่เหมือนกันปีนี้ปรับขึ้นแล้วผลจากต้นทุนสูงขึ้น คาดปี 2567 ราคาปรับขึ้น 3-5% เพราะเป็นบ้านต้นทุนใหม่ หากนโยบายรัฐบาลใหม่ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาทต่อวัน แต่ถ้าเป็นไปได้ขอให้ปรับค่อยเป็นค่อยไป

 

ที่มา: