ห่วงธุรกิจ-ครัวเรือนจ่ายหนี้สะดุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รายงานผลการประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) โดยที่ประชุมเห็นว่าระบบการเงินไทยยังมีเสถียรภาพ โดยธนาคารพาณิชย์และธุรกิจประกันภัยมีเงินกองทุนอยู่ในระดับสูง ขณะที่ตลาดการเงินมีเสถียรภาพ แต่ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินบางด้านสูงขึ้น เพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ความสามารถการชำระหนี้ของครัวเรือนและธุรกิจ โดยเฉพาะขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) เป็นจุดเปราะบางสำคัญ ที่อาจส่งผ่านความเสี่ยงไปยังภาคส่วนอื่นได้ เช่น คุณภาพสินเชื่อ และความเสี่ยงจากการต่ออายุตราสารหนี้เอกชน
ดังนั้นต้องดูแลความเสี่ยง 2 ประเด็นหลัก คือ ช่วยเหลือธุรกิจและครัวเรือนอย่างตรงจุด เพื่อจำกัดผลกระทบต่อเสถียรภาพการเงิน โดยการช่วยภาคธุรกิจแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรก ธุรกิจที่มีศักยภาพแต่ขาดสภาพคล่องชั่วคราว เน้นการให้สินเชื่อใหม่และปรับโครงสร้างหนี้, กลุ่ม 2 ธุรกิจขาดสภาพคล่องชั่วคราว มีหนี้เดิมสูง ควรให้สินเชื่อเพื่อเพิ่มทุน หรือแปลงหนี้เป็นทุน และปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุก และกลุ่ม 3 ธุรกิจขาดความสามารถแข่งขันมาระยะหนึ่งควรลดกำลังการผลิตส่วนเกิน และปรับรูปแบบธุรกิจ ขณะที่ภาคครัวเรือน เน้นปรับโครงสร้างหนี้ โดยให้ลูกหนี้แสดงเจตจำนงกับเจ้าหนี้แทนการช่วยเหลือเป็นวงกว้าง และมีมาตรการเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่าย รวมถึงช่วยผู้เอาประกันภัย
สำหรับประเด็นที่ 2 ดูแลเสถียรภาพภาคการเงินและจำกัดการส่งผ่านความเสี่ยงจากตลาดเงินไปสู่ภาคส่วนอื่นในระบบการเงิน โดยต้องคงกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ (BSF) และกลไกช่วยเหลือกองทุนรวมที่ได้รับผลกระทบจากการขาดสภาพคล่องในตลาดการเงิน (MFLF) ต่อเนื่องต่อไป เพื่อรองรับเหตุการณ์ที่อาจกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน รวมถึงเตรียมแนวทางดูแลความเสี่ยงที่ไม่ได้ถูกรองรับโดย BSF
นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ขอให้สถาบันการเงินส่งข้อมูลการช่วยเหลือลูกค้าผ่านมาตรการต่างๆ และความคืบหน้าปรับโครงสร้างหนี้มาให้ภายในวันที่ 31 ธ.ค.นี้ เพื่อประกอบการพิจารณาช่วยเหลือต่อไป ส่วนเอสเอ็มอียังเข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้ได้จนถึงวันที่ 30 มิ.ย.64 “ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่าแบงก์ชาติจะมีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมหรือไม่ ขอดูตัวเลขทั้งหมดแล้วค่อยดูว่าจะทำอย่างไรต่อไป”
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ