สมาร์ทคอนกรีตกางแผนปี 64 ทำตลาดเชิงรุกเจาะกลุ่มผู้รับเหมาต่างชาติ
นายรังสี ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ทคอนกรีต (SMART) ผู้ผลิตและจำหน่ายอิฐมวลเบาด้วยระบบอบไอน้ำภายใต้ความดันสูงเพื่อใช้ในงานก่อสร้าง และงานกั้นผนังอาคารกล่าวถึงทิศทางธุรกิจปี 2564 ว่าครึ่งปีหลังน่าจะมีแนวโน้มที่ดีกว่าครึ่งปีแรก จากโครงการเมกะโปรเจกท์ขนาดใหญ่ งานโครงการก่อสร้างอาคารภาครัฐ นโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ EEC ผลักดันให้เกิดการลงทุนก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรม คลังสินค้า และผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทยอยลงทุนในโครงการใหม่ ปัจจัย ดังกล่าวส่งผลให้ความต้องการสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบาปรับตัวดีขึ้น
โดยกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจ บริษัทมีแผนเดินหน้าทำการตลาดเชิงรุก ออกสินค้าใหม่อิฐมวลเบาตกแต่งเพิ่ม 2 ลาย ในปีนี้จากเดิม 5 ลาย เนื่องจากมีกระแสตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้า และยอดขายเติบโตต่อเนื่อง พร้อมผลักดัน สินค้าผ่านช่องทางการจำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรด ดีลเลอร์ ให้มากขึ้น และขยายฐานลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าใหม่ อาทิ ผู้รับเหมาต่างประเทศที่เข้ามาพัฒนา โครงการอสังหาฯ และก่อสร้างโรงงาน นิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคตะวันออก
บริษัทยังมุ่งเน้นการทำตลาดผลิตภัณฑ์ใหม่ “อิฐมวลเบาตกแต่งและประหยัดพลังงาน” ให้เป็นที่รู้จัก มากขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ควบคู่กับการใช้กลยุทธ์ O2O (Online to Offline) เพื่อกระตุ้นการสร้างยอดขายให้เติบโต และสร้างการรับรู้กับลูกค้าในวงกว้าง ผ่านสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดียต่อเนื่อง ทั้งนี้สัดส่วนรายได้ งานภาครัฐอยู่ที่ 60% ภาคเอกชน 38% และต่างประเทศ 2% ขณะที่สัดส่วนรายได้ แบ่งตามกลุ่มผลิตภัณฑ์อิฐมวลเบา 94% อิฐมวลเบาตกแต่ง 5% และอื่นๆ 1%
สำหรับการขยายตลาดกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม)บริษัทยังมีการส่งสินค้าไปจำหน่ายในประเทศกลุ่มนี้ เพื่อใช้ในงานก่อสร้างและงานโครงสร้าง พื้นฐานของภาครัฐ โดยมีกระแสตอบรับที่ ค่อนข้างดีและมีออเดอร์สั่งซื้อสินค้าต่อเนื่องจากตัวแทนจำหน่ายในประเทศดังกล่าว นอกจากนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าเจรจาหาพันธมิตรเป็นตัวแทนจำหน่าย เพื่อขยายตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV อย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ 440 ล้านบาท หรือเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% หากโควิด-19 จบอย่างรวดเร็วในครึ่งปีแรก
นายรังสีกล่าวว่าในส่วนของผลประกอบการงวดปี 2563 มีรายได้รวม 419.17 ล้านบาท ลดลง 47.65 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 466.82 ล้านบาท และมี กำไรสุทธิ 45.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 44.23 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.57 ล้านบาท คิดเป็น 3.56%
ขณะที่ ผลประกอบการไตรมาส 4/63 มีรายได้รวม 108.73 ล้านบาท ลดลง 15.35 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 124.08 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 15.80 ล้านบาท ลดลง 5.19 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 20.99 ล้านบาท
ทั้งนี้ผลประกอบการ ในส่วนของกำไรสุทธิปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากบริษัทมีการบริหารจัดการควบคุมต้นทุนการผลิตและการขาย อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่รายได้รวมปรับลดลง เล็กน้อยเนื่องจาก ผลกระทบจากสถานการณ์ การแพร่ระบาดโควิด -19 นอกจากนี้ คณะกรรมการ บริษัทได้มีมติอนุมัติจ่ายปันผลประจำปี 2563 แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.12 บาท คิดเป็น 132.99% ของกำไรสุทธิหลังหักสำรองตาม กฎหมาย จากนโยบายปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ บริษัทได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2563 หุ้นละ 0.05 บาท โดยครั้งนี้จะจ่ายเพิ่มเติม 0.07 บาท/หุ้น คิดเป็นเงินปันผลที่จะจ่ายเพิ่มเติม ให้แก่ผู้ถือหุ้น 0.035 บาท/หุ้น ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้จาก 1 บาท/หุ้น เป็น 0.50 บาท/หุ้น คิดเป็นจำนวน เงินปันผลเพิ่มเติม 32 ล้านบาท ทั้งนี้ รอมติการอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากผู้ถือหุ้นในช่วงเดือนเมษายนอีกครั้ง
ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า