วัสดุก่อสร้างคึกรับซ่อมบ้าน DOHOME-GLOBAL สดใสถึงปี65

16 ธ.ค. 2564 587 0

         หุ้น “ดูโฮม-สยามโกลบอล” เทรดคึก มูลค่าซื้อขายหนาแน่น แม้ราคาบวกลบบ้างตามภาวะตลาด หลังแจ้งงบไตรมาส 3 ที่กำไรเติบโต 152.81% และ 63.63% ตามลำดับ โบรกฯมอง DOHOME และ GLOBAL ได้รับผลบวกจากภาวะน้ำท่วม เพราะการซ่อมแซมบ้านเรือนหลังน้ำลด อีกทั้งการขยายสาขาและลงทุนเพิ่ม คาดผลงาน Q4 สดใสต่อเนื่องถึงปี 65 แนะนำซื้อ ให้ราคา GLOBAL 27 บาท ส่วน DOHOME เป้าหมายเหนือ 30 บาท

          กลุ่มวัสดุก่อสร้าง คึกคักมากเมื่อเกิดภาวะน้ำท่วมในพื้นที่หลายจังหวัดทั่วประเทศตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา แม้ว่าขณะนี้ได้ลดระดับลงแล้ว แต่พายุและฝนตกหนักกลับไปกระหน่ำซ้ำในเขตภาคใต้ของไทยช่วงเดือนพ.ย.เรื่อยมาทำให้เกิดความเสียหายแก่บ้านเรือนในหลายพื้นที่ต่อเนื่อง แน่นอนว่าผลที่จะตามมาคือการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ถนนหนทางและอื่น ๆ ดังนั้น ความต้องการใช้วัสดุต่าง ๆ เพื่อก่อสร้างและซ่อมแซมจึงมีเพิ่มขึ้น

          หุ้นที่ดำเนินธุรกิจผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าวัสดุก่อสร้าง จึงได้รับความสนใจจากนักลงทุน บริษัทจดทะเบียน 2 แห่งที่โบรกเกอร์ประเมินและมองว่าจะสดใสเพราะได้รับผลดีจากมาตรการที่ผ่อนคลายจากรัฐหลังมีการล็อกดาวน์มีหุ้นหลายตัวจะได้รับอานิสงส์และนั้น คือ DOHOME หรือบริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) และ GLOBAL หรือ บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งหุ้น DOHOME และ GLOBAL คึกคักมากขึ้น หลังแจ้งงบมีไตรมาส 3 ปีนี้ล้วนทำกำไรต่อเนื่อง

          ราคาหุ้น DOHOME เทรดกันในระดับ 23-27 บาท ซึ่งอาจบวกลบบ้างในแต่ละวัน แต่มูลค่าซื้อขายหนาแน่นมากวันละเกือบ 200 ล้านบาท บางวันขึ้นไป 300-400 ล้านบาท เมื่อวันที่ 16 พ.ย. ที่ผ่านมา มูลค่าซื้อขายสูงถึง 1,120.72 ล้านบาท ขณะผลงานไตรมาส 3 พบว่ามีกำไรสุทธิ 340.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำไว้ 187.58 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 152.81% ขณะ GLOBAL แม้ราคาจะแผ่วลงมาต่ำกว่า 20 บาท แต่มูลค่าซื้อขายยังคงหนาแน่น

          DOHOME คึกรับซ่อมบ้าน-งานก่อสร้าง

          บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ บล.คันทรี่ กรุ๊ป ประเมินหุ้น DOHOME ซึ่งเป็นหนึ่งในอีกหลายบริษัทที่ได้รับผลดีจากการเกิดภาวะน้ำท่วม เพราะหลังจากน้ำลดความต้องการปรับปรุงบ้านเรือน ขณะที่ DOHOME แจ้งผลงานไตรมาส 3 ออกมาพบว่า ต่ำกว่าคาด เพราะมีกำไรสุทธิ 340 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 82% แต่ลดลง 43% จากไตรมาสก่อน คิดเป็น 78% ของประมาณการปี 2564 ต่ำกว่าคาดจากค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าคาด ส่วนผลประกอบการเติบโตจากปีก่อนจากยอดขายสาขาเดิมเติบโต 14.9% และอัตรากำไรที่ปรับตัวดีขึ้นจากต้นทุนสินค้าที่ลดลง การบริหารศูนย์กระจายสินค้าที่ดีขึ้น อีกทั้งอัตรากำไรจากสินค้ากลุ่มเหล็กที่เพิ่มขึ้น ขณะที่เทียบไตรมาสลดลงจากปัจจัยฤดูกาล (ฤดูฝน) และการชะลอตัวของงานก่อสร้าง

          อย่างไรก็ดี คาดผลประกอบการไตรมาส 4 จะเติบโตสวยงามจากความต้องการในการปรับปรุงบ้านเรือนหลังน้ำท่วม และความต้องการวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 28 บาท อิง 35xPE’22E

          บล.เคทีบีเอสที แนะนำ “ซื้อ” DOHOME ให้ราคาเป้าหมายที่ 33.50 บาทโดย roll-over ราคาเป้าหมายไปปี 2565 และ de-rate PER ลงมาที่ 36.0x (avg peer 30x) จากเดิมที่ 40.0x ขณะที่ DOHOME แจ้งกำไรงวดนี้ ต่ำกว่า consensus แม้ยอดขาย in line ซึ่ง บล.เคทีบีเอสที คาดที่ 6.03 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 27% แต่ลดลง 5% จากไตรมาสก่อน ผลจากการเปิดสาขาเพิ่ม และ SSSG เติบโต 15% จากปีก่อน ส่วนการลดลงจากไตรมาส ก่อนมาจากผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์และ GPM ออกมาเท่าคาดที่ 20.2%

          อย่างไรก็ตาม SG&A/sales ปรับขึ้น 136 bps. ที่ 12.0% เพราะค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดสาขาใหม่ คงกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 2.03 พันล้านบาท คาด SSSG ทั้งปี เติบโตได้ 18% จากปีก่อน คาดไตรมาส 4 จะฟื้นตัวหลัง รัฐบาลเร่งการฉีดวัคซีน และคลายมาตรการล็อกดาวน์รวมถึงบริษัทจะเปิดสาขาใหม่อีก 2 สาขา พร้อมคงกำไรสุทธิปี 2565 ที่ 2.25 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% ผลจากการเพิ่มสาขา

          บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง DOHOME ว่า ผลประกอบการไตรมาสที่ 4 จะปรับตัวดีขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และเทียบจากไตรมาสก่อน จากยอดขายที่เติบโต เพราะ SSSG แข็งแกร่ง และการเปิดสาขาใหม่ในไตรมาส 4 รวมถึงมีอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น

          ขณะที่บริษัทเน้นแผนขยายสาขาเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองเพื่อต่อรองกับ Supplier ตามจำนวนสินค้าที่ซื้อและ Product Mix ที่ดีขึ้น เมื่อประกอบกับกลยุทธ์การขายสินค้า House Brand ที่บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 20% ในปี 2565 คาดว่าอัตรากำไรของ DOHOME น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” และคงเป้าหมายสิ้นปี 2565 ที่ราคา 34 บาท

          บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ DOHOME ว่า ในไตรมาส 4/2564 SSSG ทำได้ดีมีสัญญาณบวกของเดือนตุลาคม เป็นบวก มากกว่า 30% สูงกว่าไตรมาส 2/2564 ที่โตระดับ 14-16% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2563 คาดว่าแนวโน้ม SSSG ของ ปี 2564 อาจทำได้มากกว่า 20% เมื่อเทียบ ช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน ดีกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้เดิม 17-20% การขยายสาขาใหม่ต่อเนื่องช่วยเสริมรายได้ในอนาคต ปลายปี 2564 เตรียมเปิด 2 แห่ง และในปี 2565 มีแผนเปิดเพิ่มอีก 5 แห่ง

          อีกทั้งไตรมาส 4 กำลังซื้อเพิ่มจากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลและผลกระทบ จากน้ำท่วม ทำให้สินค้าซ่อมแซมจะได้รับความนิยม ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาดูต่อไป อาทิ การกลับมาแพร่ระบาดของโควิด-19, ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว รวมไปถึงภัยทางธรรมชาติ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัย ให้ คำแนะนำ “ซื้อ” DOHOME โดยประเมิน ราคาเป้าหมายไว้ที่ 31.20 บาท

          นางสลิลทิพ เรืองสุทธิภาพ รองกรรมการ ผู้จัดการสายงานบัญชี การเงิน และสนับสนุนองค์กร DOHOME เผยก่อนหน้านี้ว่าตั้งต้นเดือนตุลาคมถึงปัจจุบันอัตราการเติบโตของยอดขายต่อสาขาเดิม (SSSG) เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 30% ซึ่งสูงมากกว่าเมื่อเทียบกับช่วงอื่นของปี หลังจากคลายมาตรการคลายล็อกดาวน์ รวมถึงการเปิดประเทศ ทำให้ความต้องการซ่อมแซม บำรุงรักษา และตกแต่งที่อยู่อาศัยรับช่วงเทศกาลปีใหม่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน อีกทั้งยังเข้าสู่ช่วงไฮซีซันของธุรกิจ คาดว่าในไตรมาส 4/2564 ยอดขายจะสูงที่สุดปีนี้ พร้อมเดินหน้าเปิดสาขาตามเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง

          ขณะที่สถานการณ์น้ำท่วม คาดว่า หลังจาก สถานการณ์น้ำคลี่คลายลงจะทำให้มีความต้องการ ซ่อมแซมที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงมองว่าเฉลี่ยรวม SSSG ในช่วงไตรมาส 4 มีโอกาสที่จะยืนเหนือ 20% เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ระดับ 10% ซึ่ง DOHOME ได้เตรียมผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งในส่วนของหน้าบ้าน และหลังบ้าน ให้เพียงพอรองรับความต้องการที่จะเกิดขึ้น และหากไม่มีการกลับมาระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 ตลอดจนการปลดล็อกดาวน์หลายพื้นที่ในประเทศอย่างต่อเนื่อง ก็จะหนุนให้ยอดขายต่อสาขาเดิม หรือ SSSG ทรงตัวในระดับสูงได้ต่อเนื่องไปถึงไตรมาสแรกปี 2565

          “ไตรมาสสุดท้ายจะเป็นช่วงประกาศงบปี 2565 หนุนให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในงานเกี่ยวเนื่องก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้เตรียมความพร้อมของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งใน ส่วนของหน้าบ้านและหลังบ้าน ให้เพียงพอรองรับความต้องการที่จะเกิดขึ้น โดยหากว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ไม่มีผล กระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วม หรือการ กลับมาระบาดระลอกใหม่ของไวรัส โควิด-19 ตลอดจนการปลดล็อกดาวน์หลาย พื้นที่ในประเทศอย่างต่อเนื่องก็สนับสนุนให้ยอดขายต่อสาขาเดิม (SSSG) โตทรงตัวเฉลี่ยที่ระดับตัวเลขสองหลัก หรือเหนือระดับราว 20% ได้อย่างต่อเนื่อง ” นางสลิลทิพกล่าว

          GLOBAL ผลงาน Q4 โตทะลุ 30%

          บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL คืออีกหนึ่งบริษัทที่จะได้รับอานิสงส์จากน้ำท่วม และภาพของ GLOBAL หลังจากบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ* SCC ส่งบริษัทลูก บริษัท เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด เข้าไปเทกโอเวอร์ GLOBAL เมื่อปลายปี 55 ซึ่ง SCC ต้องการให้บริษัทนี้เป็นหัวหอกในการขยายธุรกิจวัสดุก่อสร้างของเครือซิเมนต์ไทย และหลังจากนั้นจะพบว่าGLOBAL และ SCC ร่วมลงขันทำธุรกิจร่วมกันหลายอย่าง รวมถึงตั้งบริษัทหลายแห่ง เช่นการลงขันร่วมทุนในสัดส่วนฝ่ายละ 50% ตั้งบริษัทโกลบอลเฮ้าส์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัดหรือ GBI หวังขยายธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างในรูปแบบคลังสินค้าในอาเซียน

          ล่าสุด GBI ได้เข้าซื้อหุ้นที่ออกใหม่ของบริษัท Caturkarda Depo Bangunan (CKDB)จำนวน 865,653,100 หุ้นคิดเป็น 12.75 % ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ที่ราคา 482 อินโดนีเซียรูเปียห์ต่อหุ้น คิดเป็นเงินลงทุน418 พันล้านอินโดนีเซียรูเปียห์ หรือ 981 ล้านบาท ซึ่งดำเนินธุรกิจวัสดุก่อสร้างในอินโดนีเซีย ด้วยเป้าหมายการขยายธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างในภูมิภาคอาเชียน

          ขณะที่เมื่อเดือนสิงหาคม GLOBAL ได้จัดตั้ง บริษัท กว่างซี โกลบอลเฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เทรด จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในประเทศจีน และGLOBALถือหุ้น100% ทุนจดทะเบียนไม่เกิน 3,500,000 เรนมินบิ หรือ17,950,450 บาท เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของบริษัท โดยทำหน้าที่จัดหาสินค้าจากประเทศจีน

          บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้ม การดำเนินงานไตรมาส 4 ของ GLOBAL คาดว่ากำไรยังอยู่ในเกณฑ์ดีและเติบโตได้มากกว่า 30% เทียบปีก่อน เนื่องจากยอดขายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการที่ SSSG เดือนตุลาคมเป็นบวกเกิน 10% รวมทั้งอาจได้อานิสงส์จากความต้องการซ่อมแซมบ้านหลังจากสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายลง อีกทั้งอาจมีการเปิดสาขาใหม่อีก 1-2 แห่ง อัตรากำไรขั้นต้นยังมีแนวโน้มสูงกว่าปีก่อนจากการปรับกลยุทธ์สินค้า House Brand ทำให้มีอัตรากำไรสูงขึ้น

          คาดกำไรปี 2564 จะเติบโต 54% เป็น 3,136 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น ต่อเนื่องในปี 2565 ที่ 8% เป็น 3,382 ล้านบาท ทั้งนี้ GLOBAL ได้แจ้งการลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งอาจเริ่มมีการขยายสาขาในปี 2566 สนับสนุนการเติบโตของบริษัทในระยะยาว จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย (DCF) 27 บาท

          บล.เคทีบีเอสที ระบุว่า GLOBAL มีสาขาอยู่ในต่างจังหวัดค่อนข้างมาก จึงได้รับผลกระทบจำกัดจากมาตรการ ล็อกดาวน์ครั้งนี้ อย่างไรก็ตามหาก รัฐบาลเริ่มมีการสั่งล็อกดาวน์ในพื้นที่ ต่างจังหวัดผลกระทบจะมากขึ้น กลายเป็น ปัจจัยกดดันต่อประมาณการของฝ่ายวิจัยโดย ประเมินว่ากำไรสุทธิปี 2564 GLOBAL จะอยู่ที่ 3.26 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 67% ตามการเติบโตของรายได้ที่คาดไว้ 3.34 หมื่นล้านบาท จากยอดขายสาขาเดิม ที่คาดเติบโต 14% และจะเปิดสาขา เพิ่มอีก 2 สาขา รวมปีนี้จะเปิดสาขา ทั้งหมด 5 สาขา เป็น 76 สาขา ขณะที่ อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ 24.8% ลดลง เล็กน้อยจากช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 25.7%

          ส่วนปี 2565 คงคาดการณ์กำไรสุทธิ ไว้ที่ 3.49 พันล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากรายได้ที่เติบโตตามการเปิดสาขาใหม่ และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 24.5% สอดคล้องกับ การปรับกลยุทธ์การขายที่เน้นสินค้า House Brand มากขึ้น ขณะที่ในระยะยาว คาดว่ากำไรปี 2563-2566 จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 26%

          นายวิทูร สุริยวนากุล ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร GLOBAL รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ว่า บริษัทมีผลกำไรสุทธิ (เฉพาะกิจการ) เมื่อเปรียบเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา 636.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 194.62 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 44.01%

          และเมื่อรวมส่วนแบ่งกำไรจากเงิน ลงทุนในการร่วมค้าผ่านบริษัท โกลบอลเฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และการลงทุนในบริษัทย่อยในนาม Global House Cambodia Co., Ltd จะทำให้บริษัทมีผลกำไรสุทธิตามงบการเงินรวม 663.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปี 2563 จำนวน 202.97 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 44.09% เนื่องจากการปรับกลยุทธ์ในการบริหารสินค้ากลุ่ม House Brand และการกระตุ้นยอดขายสินค้าผ่านช่องทางต่างๆ มากขึ้น

          สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือนปีนี้ บริษัทมีผลกำไรสุทธิ 2,609.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,014.66 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 63.63% เมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันของปี 2563 (ณ 30 ก.ย. 2564 บริษัทมีจำนวนสาขารวม 74 สาขา เพิ่มขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปี 2563 จำนวน 6 สาขา) โดยมีปัจจัยหลัก รายได้จากการขาย สำหรับไตรมาส 3 ที่ 7,684.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากงวดเดียวกันของปี 2563 จำนวน 1,245.79 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 19.35% และสำหรับงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2564 เท่ากับ 25,251.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 5,318.88 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 26.68% เป็นผลมาจากยอดขายของสาขาเดิมที่เพิ่มขึ้นและการเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 6 สาขา เป็นต้น

          อย่างไรก็ตาม พักนี้ราคาหุ้น GLOBAL และ DOHOME อาจปรับขึ้น ๆ ลง ๆ บ้าง ย่อมเป็นไปตามสภาพตลาดและกระแสความต้องการของนักลงทุน

ที่มา: