รัสเซียแห่เหมาพูลวิลล่าภูเก็ต

08 ก.พ. 2566 273 0

          ค่าเช่ากระฉูด-จัดโซนส่วนตัว ช้างคลานฮิตจีนลุยซื้อคอนโด ที่ดินเช็กยิบนอมินีฮุบอสังหา ‘วาเลนไทน์’ คึกสุดในรอบ5ปี

          ย่านช้างคลาน เชียงใหม่ สุดฮิตชาวจีนแห่ช้อปคอนโด ร่วมทุนธุรกิจท้องถิ่นพัฒนาโครงการบ้านแนวราบ ‘ภูเก็ต‘ทุนรัสเซียทะลัก

          เช็กยิบต่างชาติซื้อบ้านหรู

          เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ นางพนิตาวดี ปราชญ์นคร รองอธิบดีกรมที่ดิน เปิดเผยว่า กรณีทุนจีนและต่างชาติเข้ามากว้านซื้อที่ดิน ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวและโรงแรม รวมถึงภาคอุตสาหกรรม ดำเนินธุรกิจแข่งขันกับคนไทยโดยหลีกเลี่ยงกฎหมาย กรมได้ทำหนังสือเวียนเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติให้สำนักงานที่ดินทั่วประเทศ กำชับให้ตรวจสอบรัดกุมมากขึ้น เช่น กรณีจัดตั้งบริษัทถือหุ้นโดยคนไทยมาซื้อบ้านราคาแพง ต้องตรวจสอบว่าเป็นผู้ถือหุ้นจริง ไม่ได้ถือแทนคนต่างด้าว (นอมินี) มีอาชีพอะไร เสียภาษีเท่าไร รายได้ต่อเดือน พร้อมแสดงหลักฐานทั้งหมด จากเดิมอาจจะตรวจสอบไม่ทั่วถึงว่าเป็นคนไทยมาซื้อแทนคนต่างด้าวหรือไม่

          นางพนิตาวดีกล่าวว่า กรณีเป็นนิติบุคคล ปกติเมื่อเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ต้องตรวจสอบว่าเป็นนิติบุคคลสัญชาติไทยหรือไม่ แต่หลังเกิดกรณีทุนสีเทา “ตู้ห่าว” กรมได้ตรวจสอบไปยังกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ทำให้ทราบว่าหลังจากซื้อที่ดินและบ้านแล้วไปเพิ่มหุ้นเป็นนิติบุคคลต่างด้าว ซึ่งได้รายงานให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ทราบ และมีการอายัดที่ดินไว้แล้ว หากตรวจสอบพบว่าเงินที่ซื้อมาจากการทำผิดจะยึดขายทอดตลาดและเงินจะตกเป็นของแผ่นดิน

          “ปัจจุบันกรมประสานกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้ามาตลอดว่า มีการเพิ่มทุนว่าเป็นต่างด้าวหรือไม่ โดยทำข้อตกลงร่วมกัน และกำชับแนวทางปฏิบัติกับที่ดินทั่วประเทศให้สอบลึกไปถึงผู้ถือหุ้นว่าทำกิจการอะไร ทำนองเดียวกับคนไทยที่ไม่มีธุรกิจ แต่นำเงินมาซื้อที่ดินราคาแพงๆ ได้ เราก็ตรวจสอบเหมือนกัน เพื่อความรัดกุมมากขึ้นในการทำนิติกรรมและจดทะเบียน” นางพนิตาวดีกล่าว

          ให้ต่างด้าวซื้อ1ไร่มีแค่8ราย

          นางพนิตาวดีกล่าวว่า ส่วนกรณีบุคคลต่างด้าวเช่าที่ดินหรือถือสิทธิเกี่ยวกับที่ดินประเภทอื่นในระยะยาว เจ้าหน้าที่กรมที่ดินต้องสอบสวนวัตถุประสงค์ในการเช่าที่ดินว่านำไปประกอบกิจการใด ผู้ให้เช่าถือกรรมสิทธิ์แทนบุคคลต่างด้าวผู้เช่าหรือไม่ หรือขัดต่อ พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวหรือไม่ สำหรับการให้สิทธิชาวต่างชาติถือครองที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยได้ไม่เกิน 1 ไร่ หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถอนร่างกฎกระทรวงการได้มาซึ่งที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนต่างด้าวตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุนโดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย พ.ศ.ไปแล้ว และกลับมาใช้กฎ กระทรวงเดิม ขณะนี้ยังไม่มีผู้ยื่นขอสิทธิเพิ่มเติม คือมีเพียง 8 รายที่เคยได้สิทธิและขอมาตั้งแต่ปี 2545 และถือครองที่ดินไม่ถึง 1 ไร่

          จีนแห่ช้อปคอนโดย่านช้างคลาน

          นายสรนันท์ เศรษฐี นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์เชียงใหม่ กล่าวว่า ปัจจุบันมีต่างชาติมาซื้อคอนโดมิเนียมเป็นบ้านหลังที่สองในย่านช้างคลาน ซึ่งเป็นย่านเศรษฐกิจของเชียงใหม่มากพอสมควร เนื่องจากเชียงใหม่เป็นเป้าหมายการท่องเที่ยวของคนต่างชาติ ส่วนใหญ่ที่เข้ามาซื้อจะเป็นชาวจีน รองลงมาเป็นเกาหลี อังกฤษ และญี่ปุ่น ซึ่งตามกฎหมายต่างชาติสามารถซื้อคอนโดมิเนียมได้ในสัดส่วน 49% ของพื้นที่โครงการ เช่น ใน 1 โครงการมี 300 ห้อง ต่างชาติสามารถซื้อได้เกือบ 150 ห้อง

          นายสรนันท์กล่าวว่า ส่วนบ้านแนวราบกฎหมายยังไม่ให้ต่างชาติซื้อหรือลงทุนพัฒนาโครงการได้ จึงยังไม่เห็นการลงทุนโดยต่างชาติ จะมีบ้างก็เป็นการตั้งบริษัทร่วมลงทุนกับคนไทย โดยมีคนไทยเป็นผู้ถือหุ้นหลักมาพัฒนาโครงการ ส่วนจะมีเบื้องหลังเป็นคนต่างชาติมาลงทุนเองทั้งหมดหรือไม่นั้น ไม่สามารถจะทราบได้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การลงทุนโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียมในเชียงใหม่ยังเป็นกลุ่มผู้ประกอบการท้องถิ่นและผู้ประกอบการจากส่วนกลาง เช่น แสนสิริ ศุภาลัย แลนด์แอนด์เฮ้าส์ เซ็นทรัล

          “หลังจีนเปิดประเทศทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวที่เชียงใหม่คึกคักขึ้น มีคนจีน เกาหลี เข้ามาเที่ยวเป็นจำนวนมาก ทั้งเป็นกรุ๊ปทัวร์และมาเองน่าจะเป็นผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัด” นายสรนันท์กล่าว

          นายสรนันท์กล่าวว่า หลังเกิดกรณีทุนจีนสีเทาเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย ทำให้กรมที่ดินตรวจสอบเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเข้มงวดมากขึ้น เมื่อเร็วๆ นี้ได้ไปโอนที่ดินที่ซื้อมาประมาณ 15 ไร่ ในนามบริษัทเพื่อพัฒนาเป็นโครงการบ้านจัดสรร กรมที่ดินได้ขอให้แสดงหลักฐานการเงินและที่มาของเงินเพิ่มเติม เพื่อตรวจสอบอย่างเข้มข้น

          รัสเซียเหมาพูลวิลล่าภูเก็ต

          นายพัทธนันท์ พิสุทธิ์วิมล นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต กล่าวว่า กลุ่มทุนต่างชาติรวมถึงชาวจีนเข้ามาลงทุนทำธุรกิจในภูเก็ตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 เพื่อรองรับการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว มีทั้งธุรกิจโรงแรมที่มาซื้อในช่วงโควิด ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับผู้ประกอบการท้องถิ่น หรือตั้งเป็นบริษัทมีคนไทยถือหุ้น 51% เพื่อทำโครงการคอนโดมิเนียมและพูลวิลล่า ส่วนธุรกิจร้านอาหารก็มีเช่นกัน ส่วนใหญ่เป็นคนจีนที่ไม่ได้อยู่ในประเทศจีนเข้ามาลงทุน

          “ตอนนี้ที่เข้ามาเยอะเป็นกลุ่มรัสเซียที่หนีหนาวและหนีสงครามมาอยู่เต็มเกาะภูเก็ต มาเหมาซื้อพูลวิลล่าราคา 50-60 ล้านบาท จัดเป็นโซนอยู่อาศัย และมีบางกลุ่มที่เช่าอยู่ยาว 6 เดือนถึง 1 ปี ทำให้ตลาดพูลวิลล่าเป็นที่นิยมและต้องการมาก โดยเฉพาะตลาดเช่าตอนนี้มีไม่พอ อัตราค่าเช่าเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า จากช่วงโควิดอยู่ที่ 20,000 บาท เป็น 40,000-60,000 บาทต่อเดือน ขณะที่โครงการใหม่ก็เกิดขึ้นรายวัน มีทุนท้องถิ่นและต่างชาติที่ตั้งบริษัทขึ้นมาลงทุนกันเยอะมาก แต่เป็นขนาดไม่ใหญ่ มีจำนวน 9 หลัง ราคา 10-100 ล้านบาท เพราะถ้าเกินต้องขออนุญาตจัดสรร” นายพัทธนันท์กล่าว

          สรท.จ่อถกแบงก์ชาติแก้บาทแข็ง

          นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 16 มีนาคม ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดให้ สรท.เข้าพบ เพื่อรับฟังข้อเสนอการแก้ปัญหาผลกระทบเงินบาทแข็งค่าและการรักษาเสถีรยภาพค่าเงิน ไม่ให้ผันผวนสูงกว่าประเทศคู่ค้าสำคัญ ส่งผลให้ผู้ส่งออกเริ่มประสบปัญหาขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน และคาดว่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าไปอีก 1 เดือน จึงต้องการให้ ธปท.ทบทวนการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับเหมาะสม และเพิ่มมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ในซัพพลายเชนการส่งออก ที่อาจได้รับผลกระทบดังกล่าวด้วย

          คาดส่งออกไตรมาสแรกลบ3-4%

          นายชัยชาญกล่าวว่า แนวโน้มส่งออกเดือนมกราคมมูลค่าน่าจะใกล้กับเดือนธันวาคม 2565 หรือขยายตัว 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่คาดว่าส่งออกไตรมาสแรกปีนี้อาจติดลบ 3-4% เนื่องจากฐานส่งออกปีก่อนสูง และคาดการณ์การส่งออกรวมทั้งปี 2566 ขยายตัวระหว่าง 1-2% สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคสำคัญในปีนี้ คือปริมาณสินค้าคงคลังของคู่ค้ายังทรงตัวในระดับสูง ส่งผลให้คู่ค้าชะลอคำสั่งซื้อสินค้า ต้นทุนการผลิตยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะค่าไฟฟ้า ขณะที่สถานการณ์ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถการแข่งขัน ด้านราคาต่อประเทศคู่ค้าและคู่แข่งที่มีค่าเงินอ่อนกว่าไทย

          “อยากขอให้ภาครัฐควบคุมหรือปรับขึ้นค่าไฟฟ้าในภาคการผลิตแบบค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงพิจารณามาตรการสนับสนุน เพื่ออุดหนุนการใช้พลังงานทางเลือก อาทิ มาตรการทางภาษี ลดหย่อนภาษี ในการเปลี่ยนไปใช้พลังงานทางเลือกอื่นทดแทน อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานหมุนเวียน และพลังงานชีวมวล เป็นต้น” นายชัยชาญกล่าว

          ส.อ.ท.ชี้5ปัจจัยช่วยค่าไฟต่ำ5บ.

          นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงข้อเรียกร้องของภาคเอกชนต่อรัฐบาลปรับโครงสร้างต้นทุนค่าไฟให้ต่ำกว่า 5 บาทต่อหน่วย ว่า ข้อเรียกร้องดังกล่าวมีความเป็นไปได้ เพราะปัจจุบันสถานการณ์ต้นทุนเชื้อเพลิงในการผลิตค่าไฟต่ำลง ประกอบกับค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น จุดยืนของ ส.อ.ท.ในการแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าในงวดที่ 2 ของปีนี้ (พฤษภาคม-สิงหาคม) คือค่าไฟของครัวเรือนต้องไม่แพงขึ้นกว่าเดิมจากปัจจุบันตรึงราคาไว้ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย โดยภาครัฐต้องหางบประมาณจากส่วนอื่นมาสนับสนุน ขณะที่ค่าไฟของภาคธุรกิจไม่ควรเกิน 5 บาทต่อหน่วย จากปัจจุบันอยู่ที่ 5.33 บาทต่อหน่วย

          นายอิศเรศกล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ค่าไฟงวด 2 จะต่ำกว่า 5 บาทต่อหน่วย คือ 1.เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นประมาณ 15% ปัจจุบันอยู่ระดับ 32-33 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ทำให้การซื้อเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้าถูกลง 2.ราคาดีเซลและก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ที่ต่ำลงระดับ 20 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู 3.ปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยซึ่งมีราคาถูกกว่าแอลเอ็นจี มีจำนวนมากขึ้นตามลำดับ จากปัจจุบัน 200 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จะเพิ่มเป็น 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันช่วงกลางปีนี้ 4.ปัจจุบันมีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมรัฐและเอกชนช่วยกันหารือหาทางออก และคาดว่าจะมีการหารือนัดที่ 2 ภายในสัปดาห์หน้า และ 5.การมีเวลาทำงานร่วมถึง 3 เดือนก่อนที่จะประกาศค่าไฟงวดใหม่ น่าจะทำให้การพิจารณาต้นทุนมีความชัดเจน เพราะหากเทียบกับการพิจารณาครั้งที่ผ่านมาช่วยปลายเดือนธันวาคม 2565 ที่สามารถลดค่าไฟเอกชนลงจาก 5.69 บาทต่อหน่วย เหลือ 5.33 บาทต่อหน่วย ใช้เวลาพิจารณาร่วมกัน ในการหาแนวทางลดต้นทุนได้สำเร็จ ใช้เวลาเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น ดังนั้นจึงมั่นใจว่าจาก 5 สาเหตุดังกล่าวจะทำให้ค่าไฟงวด 2 ต่ำกว่า 5 บาทต่อหน่วยได้แน่นอน

          ‘วาเลนไทน์’ กลับมาคึกรอบ5ปี

          นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจทัศนคติและพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงวันวาเลนไทน์ปี 2566 ว่า วันวาเลนไทน์ปีนี้ถือว่าค่อนข้างคึกคัก แม้ผู้บริโภคยังระมัดระวังการใช้จ่าย โดยส่วนใหญ่พบว่าคนกลุ่ม Gen Z ช่วงอายุ 13-23 ปี จะให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์มากที่สุด เน้นซื้อของขวัญมอบให้คนรักเฉลี่ย 1,100 บาทต่อคน และมีการทานข้าวนอกบ้าน ซื้อดอกไม้ มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว โดยคาดว่าจะใช้จ่ายเฉลี่ยคนละ 1,848 บาท จากปีที่แล้วใช้จ่ายเฉลี่ย 1,176 บาท ส่งผลให้มีเม็ดเงินสะพัดในช่วงวันวาเลนไทน์ปีนี้ 2,389 ล้านบาท ขยายตัว 15.50% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 5 ปี หลังจากเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวในปี 2562

          ททท.ชี้ท่องเที่ยว ‘ทรงอย่างแบด’

          นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท.ได้สรุปเป้าหมายรายได้จากการท่องเที่ยวปี 2566 โดยพิจารณาจากความไม่แน่นอนจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกถดถอย ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาเงินเฟ้อ จึงตั้งเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ 2.38 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ จำนวน 30 ล้านคน สร้างรายได้ 1.5 ล้านล้านบาท และตลาดไทยเที่ยวไทย อยู่ที่ 135 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ 880,000 ล้านบาท

          นายยุทธศักดิ์กล่าวว่า การทำงานของ ททท.ไม่ได้ให้ความสำคัญเฉพาะด้านอุปสงค์เพียงอย่างเดียวเหมือนที่ผ่านมา แต่จะเพิ่มน้ำหนักในการบูรณาการปรับด้านอุปทาน เพื่อให้สอดรับกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ และกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ประเด็นสำคัญที่ ททท.มาเพิ่มน้ำหนักในด้านอุปทาน เพราะแม้ประสบความสำเร็จในการพลิกฟื้นการท่องเที่ยวให้กลับมาอย่างรวดเร็ว แต่แหล่งท่องเที่ยวและบริการของไทย ตอนนี้กลับมีลักษณะทรงอย่างแบด (BAD) ประกอบด้วย B (Backing to normal) A (Accelerated Speed) D (Development is badly needed) ซึ่งหมายถึงกลับมาสู่ปกติ แต่เหมือนจะกลับไปเป็นรูปแบบเดิมก่อนโควิดอย่างรวดเร็ว จนด้านอุปทานคือธุรกิจท่องเที่ยวและแหล่งท่องเที่ยวปรับตัวไม่ทัน

          นายยุทธศักดิ์กล่าวว่า ดังนั้น หากต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่มีมูลค่าสูงและยั่งยืน จำเป็นต้องสร้างความมั่นคงทางการท่องเที่ยวให้กับประเทศ โดยหันมาเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านอุปทานบนพื้นฐานของคุณภาพและความยั่งยืน ดูแลรักษาและปกป้องคุ้มครองโครงสร้างพื้นฐานทางการท่องเที่ยวสำคัญ ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล เพื่อเพิ่มมูลค่าและความยั่งยืน รวมถึงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความ เสี่ยงภายนอกอย่างมีประสิทธิภาพ

          จุรินทร์ดันค้าไทย-ยูเออี3หมื่นล.

          ที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังนำคณะภาครัฐ-เอกชนหารือกับนายธานี บิน อาเหม็ด อัล เซยูดี รัฐมนตรีแห่งรัฐประจำกระทรวงเศรษฐกิจสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รับผิดชอบด้านการค้าต่างประเทศ ที่ Sharjah Chamber of Commerce and Industry ว่าจะสร้างความร่วมมือระหว่าง 2 ประเทศ ด้านเศรษฐกิจ 2 กลไก ได้แก่ 1.ตกลงนับหนึ่งทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ หรือ CEPA กับยูเออี ตั้งเป้าให้เสร็จภายใน 6 เดือน 2.การเซ็นเอ็มโอยูระหว่างภาคธุรกิจของ 2 ประเทศ จัดตั้งสภาธุรกิจไทยยูเออี รัฐบาล 2 ฝ่ายรับรองธุรกิจ การค้า การลงทุนระหว่างกัน ตั้งเป้าภายในปี 2566 จะเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท นอกจากนี้ได้ชวนนักลงทุนจากยูเออีลงทุนในไทย นอกจากได้สิทธิประโยชน์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ของไทยแล้ว ยังได้ประโยชน์จากเอฟทีเอที่ไทยมี 14 ฉบับกับ 18 ประเทศ และปัจจุบันกำลังทำเอฟทีเอไทยกับสหภาพยุโรป 27 ประเทศ ถ้าสำเร็จนักลงทุนจากยูเออีที่ลงทุนไทยจะได้รับสิทธิประโยชน์ด้วย นอกจากนี้ยังเชิญชวนให้มาร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติที่ไทยจัดขึ้น

          “ผมได้ขอยูเออี หนึ่งในสมาชิกที่ลงคะแนนได้จาก 170 กว่าประเทศ ช่วยโหวตจังหวัดภูเก็ตเป็นเจ้าภาพจัดงาน Specialised Expo โดยจะมีการพิจารณาช่วงเดือนมิถุนายนปีนี้” นายจุรินทร์ กล่าว และว่า จากการเยือนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กระทรวงพาณิชย์ยังได้ประชุมร่วมกับเอกชนของไทยที่ดำเนินธุรกิจในประเทศนี้ ประมาณ 15 ราย พร้อมลงนามสัญญาซื้อขาย

ที่มา: