พราว ปั้นตลาดแนวราบ

12 ก.ย. 2565 330 0

         ดาริน โชสูงเนิน

          กรุงเทพธุรกิจ

          เปิดโครงการบ้านเดียวมูลค่า 500 ล้าน รับรู้รายได้ทันที  ปีนี้พลิกกำไร-ล้างขาดทุนสะสมจ่ายปันผลครั้งแรก

          เป็นเวลากว่า 2 ปี ! หลัง “ตระกูลลิปตพัลลภ” เพิ่มทุนใน บริษัท โฟคัส ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ FOCUS จำนวน 451.39 ล้านหุ้น เสนอขายหุ้นละ 1.44 บาทต่อหุ้น และขึ้นมาเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ ในสัดส่วน 70.48% (ตัวเลข ณ 9 มี.ค. 2565) และเดินหน้าปรับโครงสร้างภายในองค์กร… เพื่อสร้างการเติบโตและรุกธุรกิจครั้งใหม่ ! ใน “ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย” (Residential) ภายใต้ชื่อใหม่ว่า บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PROUD

          จะทำอะไรหรือลงทุนอะไรต้องรู้ลึก และรู้จริงต้องละเอียด ! ประโยค ที่ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ที่ปรึกษาในเรื่องงานก่อสร้างให้ PROUD มักพูดเสมอๆ ให้ทั้งผู้บริหารของบริษัท และลูกชายอย่าง “พสุ ลิปตพัลลภ” ฟังบ่อยๆ

          “พสุ ลิปตพัลลภ” กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PROUD เล่าให้ “กรุงเทพธุรกิจ” ฟังว่า หากต้องการสร้างการเติบโต ของธุรกิจให้ “โดดเด่น” การยึดติดอยู่กับ การดำเนินธุรกิจรูปแบบเดิมๆ โอกาสการเติบโตยั่งยืนย่อมยากขึ้น ! ดังนั้น จึงต้อง เดินแผนรักษาฐานที่มั่นในธุรกิจเดิมคือ ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย พร้อมไปกับรุกสู่ “ธุรกิจใหม่” (New Business) ซึ่งมองเป็น “2 มิติ"ทั้งในเรื่องของ “เงินลงทุน-ความเสี่ยงของธุรกิจ” โดยคาดว่าในปี 2566 น่าจะ มองเห็น “ทิศทาง” (directions) ของธุรกิจ ที่บริษัทมีความสนใจลงทุน แต่หาก มองในมุมของรายได้คงยังไม่เห็น เนื่องจากการลงทุนยังต้องใช้เวลา

          ดังนั้น ปัจจุบันบริษัทยังเน้นลงทุนในธุรกิจหลัก ! สะท้อนผ่านแผนธุรกิจ 3-5 ปี (2565-2569) ตั้งเป้ายอดขาย แตะ “หมื่นล้าน” สอดรับการปรับกลยุทธ์การลงทุนภายในองค์กรใหม่ เพื่อรองรับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แนวราบ หลังบริษัทมีการซื้อที่ดินใหม่ในกรุงเทพฯ โดยในปี 2565 จะเปิด 3 โครงการใหม่ คือ โครงการบ้านเดี่ยว ย่านอารีย์ มูลค่ารวม 500 ล้านบาท ระดับราคาขายหลังละ 70 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นโครงการแนวราบ โครงการแรกที่บริษัทดำเนินการ ส่วนอีก 2 โครงการเป็นคอนโดมิเนียม ย่านสาทร และ หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

          “ระหว่างที่เรากำลังรอโครงการคอนโดฯ ที่เป็นโปรเจกต์ไฮไลที่จะเข้ามารับรู้รายได้ในปี 2567-2568 ระหว่างทางเราก็ต้องพยายามหาโครงการที่สร้าง รายได้เข้ามาเสริมก่อนอย่างโครงการแนวราบที่เราเริ่มต้นทดลองตลาดในปีนี้”

          “พสุ” เล่าต่อว่า ทิศทางธุรกิจของบริษัทในช่วงครึ่งหลังปี 2565 ส่งสัญญาณดี ซึ่งมีแนวโน้ม “เทิร์นอะราวด์” ทั้งรายได้และกำไร หลังจากการทยอยรับรู้รายได้ การโอนกรรมสิทธิ์โครงการ “อินเตอร์ คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน“มูลค่า 3.81 พันล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมียอดขายแล้ว 92.5% หรือ มูลค่ารวม 3,495 ล้านบาท ด้วยอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึงระดับ 38% เริ่มทยอยโอนเข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 65 และจะเข้ามาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง สำหรับรายได้ 110 ล้านบาทที่เกิดขึ้นเป็นเพียง 2.9% ของมูลค่าโครงการ

          โดยบริษัทตั้งเป้าขายหมด (Sold Out) และการโอนเสร็จสิ้นภายในปี 2565 ปัจจุบันมียอดขายรอโอนแล้ว (backlog) 2,857 ล้านบาท คาดว่าจะทำให้ผลการดำเนินงานพลิกกำไร และสามารถ ล้างขาดทุนสะสมกว่า 300 ล้านบาทหมด และสามารถจ่ายเงินปันผลเป็นครั้งแรก

          ขณะที่ “โครงการเวหา” (VEHHA) ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมลักชัวรี่ที่สูงที่สุด บนทำเลศักยภาพในหัวหิน มูลค่า โครงการราว 2.29 พันล้านบาท บนที่ดินพื้นที่ 5 ไร่ จำนวน 364 ยูนิต เริ่มเปิดขายในช่วงเดือน ก.ค. 2565 มีกระแสตอบรับที่ดี โดยบริษัทเจาะกลุ่มลูกค้าชาวไทย เป็นหลักราว 80% และส่วนที่เหลืออีก 20% เป็นกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ

          โดยหลังจากเปิดตัวพบว่ากลุ่มลูกค้า ให้ความสนใจเข้ามาซื้อโครงการ เป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็น “ชาวรัสเซีย” และ “โซนสแกนดิเนเวีย"โดยจะเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 4 ปี 2565 และจะแล้วเสร็จไตรมาส 2 ปี 2568 บริษัทตั้งเป้ายอดขายภายในสิ้นปีนี้ไว้ที่ 50%

          นอกจากนี้ บริษัทเล็งโอกาสขยายธุรกิจ มีแผนพัฒนา 2 โครงการใหม่ระดับลักชัวรี่ สู่ทำเล CBD (Central Business District) ย่านศูนย์กลางเศรษฐกิจกรุงเทพฯ ที่ยังคงซึ่งเอกลักษณ์ “MORE THAN JUST LIVING” ของ PROUD ที่เป็นมากกว่าแค่ ที่อยู่อาศัย แต่เป็น “รูปแบบการใช้ชีวิต” ที่ทำให้ผู้คนและสังคมโดยรอบดียิ่งขึ้น สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าให้ครอบคลุม และขยายฐานการสร้าง รายได้ให้กว้างขึ้น

          สำหรับ ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ช่วงครึ่งหลังปี 65 คาดกำลังซื้อกลุ่มลูกค้าอสังหาฯ ระดับลักชัวรี่ในไทย ยังคงเป็นตลาดที่มีศักยภาพ เนื่องจากกลุ่มลูกค้ามีกำลังซื้อระดับสูง และมีความต้องการซื้อสินทรัพย์ที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง

          อีกทั้ง ภายหลังจากรัฐบาลประกาศนโยบายเปิดประเทศ หลังสถานการณ์ โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ประกอบกับ การฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวในไทย จะช่วย “ดึงดูด”  ชาวต่างชาติที่มี กำลังซื้อสูง อาทิ ชาวจีน รัสเซีย และ กลุ่มชาวต่างชาติ ที่ต้องการที่พักอาศัย ช่วงวัยเกษียณ หรือ พักระยะยาว สามารถเดินทางกลับเข้าสู่ประเทศไทย ส่งสัญญาณให้กำลังซื้อในตลาดอสังหาฯ ในประเทศกลับมาสู่ปกติอีกครั้ง

          ขณะที่ ไตรมาส 2 ปี 2565 บริษัทมีรายได้รวม 110 ล้านบาท เติบโต 100% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่ไม่มีการรับรู้รายได้ เนื่องจากเริ่มมีการโอนกรรมสิทธิ์ และมีขาดทุนสุทธิ 19.9 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2565 ขาดทุนสุทธิ 38.3 ล้านบาท

          ทั้งนี้ ผลประกอบการในส่วน ของรายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจาก การขายและทยอยส่งมอบโครงการ อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหินอย่างต่อเนื่อง คาดว่าผลประกอบการ ในช่วงครึ่งปีหลังจะได้เห็นกำไรอย่างเด่นชัด

          ท้ายสุด “พสุ” บอกไว้ว่า ตอนนั้น หลังจากเพิ่มทุนแล้ว เราเงียบๆ เพราะเราไม่มีโครงการอะไรที่จับต้อง และสร้างรายได้ และบ้านเราก็ยัง จัดระเบียบไม่เรียบร้อยก่อน เพื่อรองรับการเติบโตและรุกธุรกิจในอนาคต ทั้งทีมงาน และกำลังคน ! และวันนี้ถือว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว

 

ที่มา: