ธปท. ห้ามยึดทรัพย์ลูกหนี้ชั้นดี
ธปท.ขอความร่วมมือผู้ให้บริการทางการเงินให้ชะลอการยึดทรัพย์ คลอดมาตรการฝ่าโควิดระยะ 2 ชี้นโยบายให้สถาบันการเงินทำแผนบริหารความเสี่ยงของกองทุนส่ง ก.ค.นี้ เพื่อตั้งการ์ดรับหากโควิดไม่จบ ด้านหยวนต้าชี้หากไม่มีโควิดรอบ 2 ปันผลระหว่างกาลที่งดจ่ายจะเลื่อนทบเต็มปี
นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตามที่ ธปท.ได้มีมาตรการเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยหลายมาตรการจะสิ้นสุดภายในสิ้นเดือนนี้ ธปท.จึงมีมาตรการเสริมสร้างเงินกองทุนเพื่อรองรับความเสี่ยงจากสถานการณ์โควิด-19 ในเรื่องการบริหารเงินกองทุน ที่ปัจจุบันอยู่ในระดับ 18.7% ซึ่งยังอยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ โดยยืนยันว่า ธปท.ต้องการดำเนินนโยบายเชิงป้องกันมากกว่าการแก้ไข มีการ์ดตั้งสูงไว้ เพราะไม่รู้ว่าโควิด-19 จะส่งผลกระทบในวงกว้างอย่างไร จึงมีนโยบายให้สถาบันการเงินทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยงของกองทุน และนำส่งให้ ธปท.ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ เป็นการจัดทำแผนบริหารจัดการระดับเงินกองทุนสำหรับระยะ 1-3 ปีข้างหน้า คำนึงถึงแนวโน้มเศรษฐกิจและศักยภาพลูกหนี้หลังโควิด-19 คลายตัว โดยมาตรการ ธปท.สอดคล้องนโยบายธนาคารกลางแต่ละประเทศ คาดว่าจะช่วยให้เงินทุนในการให้สินเชื่อแก่ประชาชนและนักลงทุนเพิ่มขึ้น สนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทำให้ระบบสถาบันการเงินมีระดับเงินกองทุนแข็งแกร่ง สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ฝากเงินและผู้ลงทุนในระยะยาวได้ นอกจากนี้ได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติมระยะที่ 2 ได้แก่ อาทิ ลดเพดานอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ ขยายวงเงินบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ
นายรณดลกล่าวว่า นอกจากนี้ได้ขอความร่วมมือผู้ให้บริการทางการเงินให้ชะลอการยึดทรัพย์ (ที่อยู่อาศัย หรือยานพาหนะที่ลูกหนี้ใช้สร้างรายได้) ออกไประยะหนึ่ง เพื่อให้ลูกหนี้ที่สุจริตแต่อาจจะมีปัญหาการจ่ายหนี้โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตโควิด-19 ยังมีที่อยู่อาศัย มีรถใช้ทำมาหากิน และมีโอกาสที่จะเจรจาไกล่เกลี่ยปรับโครงสร้างหนี้ร่วมกัน ซึ่งจะเป็นผลดีต่อทุกฝ่าย โดยในระยะถัดไป ประเมินว่าการที่เจ้าหนี้และลูกหนี้สามารถตกลงปรับโครงสร้างหนี้ร่วมกัน จะเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมาก
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า มาตรการของ ธปท.ทำให้หุ้นกลุ่มแบงก์ถูกกระทบอย่างหนัก เป็นปัจจัยลบในเชิงบรรยากาศการลงทุนของหุ้นกลุ่มแบงก์และตลาดรวม แต่เนื่องจากที่ผ่านมาหุ้นแบงก์ปรับราคาขึ้นช้ากว่าภาพรวมตลาดมากอยู่แล้ว ขณะที่เงินกองทุนของแบงก์อยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง และปันผลสัดส่วนน้อยมากเงินกองทุน หากโควิด-19 ไม่ระบาดรอบ 2 และแบงก์สามารถจัดทำแผนบริหารเงินกองทุน เพื่อสะท้อนความเสี่ยงในปัจจุบันได้เร็ว ปันผลระหว่างกาลที่งดจ่ายจะเป็นเพียงการเลื่อนเพื่อทบไปจ่ายเป็นปันผลเต็มปีเท่านั้น
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน