ชี้ดอกเบี้ยทยอยขึ้นปีหน้า
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณาขยายระยะเวลาการลดเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจของธนาคารรัฐ จากเดิมที่จะนำส่ง 0.25% ต่อปีของเงินฝาก ลดลงเหลือ 0.125% ต่อปีของยอดเงินฝาก เพื่อช่วยลดต้นทุนการบริหารจัดการให้แบงก์รัฐ สามารถนำเงินไปดูแลช่วยเหลือตรึงดอกเบี้ยให้กับประชาชน โดยสถาบันการเงินของรัฐต้องตรึงดอกเบี้ยให้นานที่สุดเพื่อลดภาระประชาชน โดยปีนี้ไม่มีการขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้อย่างแน่นอน แต่ทยอยปรับขึ้นในช่วงต้นปี 66 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นลักษณะแบบค่อยเป็นค่อยไป ส่วนดอกเบี้ยเงินฝากต้องขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบันการเงิน
“ขณะนี้เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว ประชาชนกำลังพ้นจากหนี้เสีย หากมาเจอสถานการณ์ดอกเบี้ยขาขึ้น อาจไม่มีกำลังใจในการชำระหนี้ต่อ ดังนั้นต้องดูหลายปัจจัยในการพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งการตรึงดอกเบี้ยของแบงก์รัฐในหลายโครงการ รัฐเข้าไปสนับสนุนโครงการสินเชื่อต่าง ๆ ของแบงก์รัฐอยู่แล้ว”
สำหรับการจัดงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน ครั้งที่ 1 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ในครึ่งวันแรก มีคนลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมแก้หนี้ครัวเรือนกว่า 12,500 ราย ซึ่งส่วนใหญ่สนใจปรับโครงสร้างหนี้ เนื่องจากขาดผ่อนชำระมาเป็นเวลา 3-6 เดือน หากที่ประชาชนมีหนี้ ประสบปัญหาผ่อนชำระ ก็อยากให้ปรึกษา มาผ่อนชำระ แต่หากต้องการสินเชื่อใหม่ก็สามารถมาปรึกษาขอสินเชื่อใหม่ได้ เพราะสถาบันการเงินของรัฐพร้อมที่จะช่วยเหลือลดดอกเบี้ย และขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้นายอาคม กล่าวว่า ส่วนข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน 3 สถาบัน ในเรื่องขอให้ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างต่ออีก 2 ปีนั้น เรื่องนี้จำเป็นต้องหารือกับกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นผู้ดูแลหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีหน้าที่จัดเก็บภาษีนี้ เพราะหากขยายระยะเวลาการลดภาษีดังกล่าวไปอีก 2 ปี รัฐบาลกลางจำเป็นต้องหางบประมาณมาชดเชยให้กับส่วนท้องถิ่น ซึ่งขณะนี้งบประมาณของรัฐบาลก็มีข้อจำกัด
สำหรับกรณีที่รัฐบาลมีมาตรการดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ด้วยการเปิดให้ต่างชาติมีสิทธิซื้อที่ดินเพื่ออยู่อาศัย 1 ไร่นั้นเป็นการแก้กฎกระทรวงฉบับเดิมเมื่อปี 2545 ให้มีความชัดเจนและสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติ
ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์