ชำแหละ พักทรัพย์พักหนี้ ซื้อเวลา หนุนธุรกิจปรับตัว

29 มี.ค. 2564 491 0

          “ทีเอ็มบี-กสิกรฯ” ชำแหละ “พักทรัพย์พักหนี้” หนุนซื้อเวลาอุ้มธุรกิจปรับตัว ชี้กลุ่มโรงแรมเป้าหมายหลัก-พอร์ตหนี้ กว่า 4 แสนล้านบาท ล่าสุดเป็นหนี้ที่ต้องจับตา-เอ็นพีแอล รวมกันร่วม 20% แนะธุรกิจเร่งทบทวนตัวเองก่อนเจรจาเจ้าหนี้

          นายนริศ สถาผลเดชา หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี (TMB Analytics) เปิดเผยว่า การเข้าพักทรัพย์พักหนี้ตามมาตรการที่ออกมานั้น น่าจะ ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม โดยปัจจุบันพอร์ตสินเชื่อโรงแรมของระบบแบงก์ภาพรวมอยู่ที่ 4.21 แสนล้านบาท (ณ สิ้นปี 2563) เฉพาะสินเชื่อกลุ่มเอสเอ็มอีจะอยู่ที่ราว 2.5 แสนล้านบาท ทั้งนี้ พบว่าพอร์ตโรงแรมทั้งหมดเป็นสินเชื่อกลุ่มที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ (stage 2) ถึง 14.5% และที่กลายเป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ไปแล้วอีก 4.5%

          “รวม ๆ กันแล้ว สินเชื่อที่อาจจะมีปัญหาก็เกือบ 20% กลุ่มนี้ก็คงเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่อาจจะเข้าพักทรัพย์พักหนี้ แต่ก็ยังมีพวกอพาร์ตเมนต์ให้เช่า หรือพวกห้างสรรพสินค้า หรือพื้นที่กึ่งห้าง กึ่งออฟฟิศอีก ที่สามารถเข้ามาร่วมได้ และประเด็นสำคัญคือ โครงการไม่ได้จำกัดว่าจะเข้าได้เฉพาะรายเล็ก หรือจำกัดมูลค่าหลักประกัน ดังนั้น ถือว่าครอบคลุมทั้งรายเล็กรายใหญ่ ขณะเดียวกัน ซอฟต์โลนที่ปรับปรุงใหม่ จะมีประโยชน์มากกับธุรกิจที่จะเข้าพักทรัพย์พักหนี้ ทั้งสองส่วนนี้ต้องไปคู่กัน เพราะคนที่จะขอซอฟต์โลนอย่างเดียวก็จะมีแต่ ผู้ประกอบการที่ธุรกิจไปได้อยู่แล้ว ส่วนคนที่สะดุด แต่ไม่ได้เข้าพักทรัพย์พักหนี้ ก็อาจจะไม่อยากเพิ่มหนี้อีก”

          สำหรับทรัพย์ที่จะนำเข้าพักต้องเป็นอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการเท่านั้น ส่วนสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์ที่เคลื่อนย้ายได้ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ที่ใช้ทำทัวร์ เรือ หรือเครื่องบิน ไม่สามารถ นำเข้าพักทรัพย์ได้ ซึ่งนอกจากตัวโรงแรม ที่ดิน ถ้าเป็นคอนโดมิเนียม หอพัก อพาร์ตเมนต์ให้เช่า หรือพวกโรงละคร ห้างสรรพสินค้า โรงงานต่าง ๆ คือ ถ้าเป็นอสังหาฯเพื่อกิจการ ก็สามารถเข้าพักทรัพย์ได้ อย่างไรก็ดี ทั้งหมดนี้ขึ้นกับแบงก์เจ้าหนี้กับลูกหนี้ตกลงกันเป็นสำคัญ

          “พักทรัพย์พักหนี้เป็นการซื้อเวลาให้ธุรกิจปรับโครงสร้าง เพราะก่อนโควิด-19 ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรมก็มีเรื่องอุปทานส่วนเกินมากอยู่แล้ว ซึ่งหลังโควิดก็ไม่มีทางที่นักท่องเที่ยวจะกลับมาสูงเหมือนเดิม ส่วนเรื่องช่วยไม่ให้เอ็นพีแอลเพิ่มมาก จะเป็นผลพลอยได้มากกว่า”

          นายนริศกล่าวด้วยว่า ขณะนี้ยังต้องรอกฎหมายลูกกำหนดเรื่องราคาตีโอนทรัพย์ชำระหนี้ว่าจะออกมาอย่างไร โดยส่วนตัวมองว่าควรกำหนดเรื่องสัญญาให้เป็นมาตรฐานเดียวกันสำหรับแบงก์นำไปใช้ เพื่อให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นในการเข้าร่วมมาตรการ

          นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ตอนนี้ผู้ประกอบธุรกิจต้องทบทวนกิจการของตัวเอง ดูว่าหากเพียงขาดสภาพคล่องชั่วคราว ก็สามารถใช้เฉพาะสินเชื่อฟื้นฟูได้ แต่ถ้าขาดสภาพคล่องมาก ก็ต้องคุยกับแบงก์เพื่อขอ พักชำระหนี้หรือปรับโครงสร้างหนี้ และ ถ้ามีหนี้เดิม และเริ่มมีปัญหาการชำระหนี้ ด้วยก็อาจจะต้องพักทรัพย์พักหนี้ เพราะกว่าเศรษฐกิจจะกลับมาปกติ คาดว่าใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่า 2 ปี

ที่มา: