ครึ่งปีแรกทัวร์จีนยังไม่กลับ รร.เน้นจับลูกค้าตลาดบน-กำลังซื้อสูง ONYX ชี้สถานการณ์ยังไม่เหมาะลงทุน

06 ก.พ. 2566 229 0

 อสังหาริมทรัพย์

          การฟื้นตัวของภาคธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้กลับมาฟื้นตัวและสามารถขยายตัว ในปี 66 นี้ จะส่งผลบวกกับธุรกิจอื่นๆ อีกมากมาย อย่างไรก็ตาม ธุรกิจหลักๆ ที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากการขยายตัวของตลาดท่องเที่ยวคงจะหนีไม่พ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่า เช่น อพาร์ตเมนต์ เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์

          แต่อย่างไรก็ตาม ธุรกิจที่ได้รับประโยชน์สูงสุด คือ กลุ่มธุรกิจโรงแรม เนื่องจากเป็นกลุ่มธุรกิจที่รองรับการพักอาศัยของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะหลังจากจีนเปิดประเทศ ซึ่งทำให้มีแนวโน้มว่านักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางกลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย เช่นเดียวกันช่วงก่อนหน้าที่จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19

          ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่าในปี 66 นี้ ชาวจีนที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย อาจมีจำนวนสูงถึง 4.65 ล้านคน โดยการเร่งตัวของ นักท่องเที่ยวจะเริ่มเห็นในช่วงไตรมาส 2 และยิ่งชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ตามการขยายเส้นทางการบินและความถี่ของเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ด้วยค่าบัตรโดยสารเครื่องบินและประกันที่เพิ่มขึ้น คงทำให้การใช้จ่ายท่องเที่ยวในไทยของชาวจีนอาจไม่เพิ่มจากช่วงก่อนโควิด-19 ภายใต้งบประมาณที่จัดสรรเพื่อ การท่องเที่ยวเท่าเดิม

          ซึ่งจากการคาดการณ์ตลาดจีนเที่ยวไทยที่มาได้เร็วกว่าคาด ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ปรับประมาณการ นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปี 66 เป็น 25.5 ล้านคน ซึ่งจะสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง ราว 1.07 แสนล้านบาท และจากการที่ทางการจีนได้ผ่อนคลายกฎระเบียบการกักตัวสำหรับผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ และการจำกัดจำนวนผู้โดยสายเที่ยวบินระหว่างประเทศจะถูกยกเลิกตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. ที่ผ่านมา ประกอบกับทางการจีนเริ่มเปิดให้ชาวจีนเข้าทำหนังสือเดินทางและต่ออายุหนังสือเดินทางอีกครั้ง ซึ่งนับเป็นข่าวดีต่อภาคการท่องเที่ยวของไทย เพราะหลังจากที่มีการผ่อนคลายกฎระเบียบดังกล่าวชาวจีนได้ให้ความสนใจในการค้นหาข้อมูลการท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก และแน่นอนว่าการผ่อนคลายกฎระเบียบครั้งนี้เร็วกว่า ที่คาดย่อมมีผลต่อทิศทางตลาดนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยในปี 66 ที่น่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์เดิม

          โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าการเร่งตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยในปี 66 จะเริ่มเห็นชัดเจนในช่วงไตรมาส 2 และน่าจะก้าวกระโดดมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง แปรผันตามการขยายเส้นทางการบินและความถี่ของเที่ยวบินระหว่างจีนและไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีความเป็นไปได้ที่จำนวนเที่ยวบินต่อวันจากจีนมาไทยอาจจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าในระหว่างปี เมื่อเทียบกับประมาณ 1,035 เที่ยวบินในช่วงไตรมาสแรกปี 66 หรือเฉลี่ยประมาณ 11-15 เที่ยวบินต่อวัน และเทียบกับในช่วงที่จีนปิดประเทศเฉลี่ยที่ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ซึ่งจะทำให้เที่ยวบินต่อวันในปี 66 นี้ อาจจะกลับมาราว 60-70% จากช่วงก่อนโควิด-19

          อย่างไรก็ตาม การกลับมาเปิดเส้นทางการบินจนถึง ณ ปลายปี 66 อาจจะยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประมาณ 93 เที่ยวบินต่อวัน (รวมเช่าเหมาลำ) ในช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 ในปี 62 เนื่องจากจำนวนชาวจีนเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศแม้เพิ่มขึ้นแต่อาจยังมีจำกัด และการจัดการด้านทรัพยากรรองรับคงต้องใช้เวลา อาทิ เครื่องบิน นักบิน พนักงานภาคพื้น เป็นต้น

          การใช้จ่ายต่อทริปในไทยของชาวจีนในปี 66 อาจไม่เพิ่มหากเทียบกับก่อนโควิด-19 ในปี 62 เนื่องจากชาวจีนที่เดินทางท่องเที่ยวต้องกันค่าใช้จ่ายเพื่อการเดินทาง (ค่าตั๋วเครื่องบินและค่าประกันสุขภาพ) สูงขึ้น บนเงื่อนไขการตั้งงบประมาณการเดินทางตลอดทริป ที่เท่าเดิมจากสถานการณ์เศรษฐกิจและรายได้ที่ไม่ได้ดีขึ้น ยกเว้นว่านักท่องเที่ยวจะใช้เงินออมหรือเป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในจีน

          แม้ว่าราคาบัตรโดยสารเครื่องบินระหว่างไทย-จีนได้ปรับลดลงมาอย่างมาก เมื่อเทียบกับในช่วงที่จีน ยังปิดประเทศ แต่ราคาบัตรของเส้นทางบินตรงยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนการระบาดของโควิดประมาณ 1.5 เท่า และสูงกว่า 200% ในเมืองที่ยังไม่มีเส้นทางบินตรง เนื่องจากในช่วงของการเริ่มเปิดประเทศปริมาณ ผู้โดยสารยังจำกัด ขณะเดียวกัน เนื่องจากต้นทุน ในธุรกิจสายการบินยังสูง โดยเฉพาะราคาพลังงานที่มีแนวโน้มกลับมาสูงขึ้นหลังจากจีนเปิดประเทศ ทำให้ราคาบัตรโดยสารน่าจะยังทรงตัวสูง

          นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอย่างประกันสุขภาพ และการตรวจ PCR ก่อนที่ชาวจีนจะเดินทางกลับประเทศ ซึ่งเบี้ยประกันอาจมีราคาหลักพันบาทหรืออาจสูงกว่านี้ขึ้นอยู่กับอายุและระยะเวลาพำนักในไทย ดังนั้น หากนักท่องเที่ยวจีนมีงบการเดินทางเท่าเดิม ก็จะเหลือเม็ดเงินสำหรับการใช้จ่ายท่องเที่ยวน้อยลง อย่างไรก็ตาม ในช่วงถัดๆ ไปของปี หากการระบาดของโควิดบรรเทาลงและผู้ประกอบการกลับมาทำการตลาดมากขึ้น ก็มีโอกาสที่ค่าใช้จ่ายที่ต้องกันไว้นี้อาจจะลดลงและทำให้ชาวจีนมีเม็ดเงินใช้จ่ายระหว่างท่องเที่ยวในไทยเพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปีได้

          นายยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป (ONYX) ธุรกิจโรงแรม ในเครือ “อิตัลไทย” กล่าวว่า นับจากช่วงปลายปี 65 นักท่องเที่ยวหลายประเทศเดินทางเข้ามาในเมืองไทยอย่างคึกคัก เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ตะวันออกกลาง ยุโรป รัสเซีย ขณะที่ตลาดจีนมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น แต่กลุ่มนักท่องเที่ยวจีน ส่วนใหญ่ที่เดินทางมาท่องเที่ยวยังคงเป็นกลุ่มชาวจีนที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งนักท่องเที่ยวอิสระที่เดินทางมาท่องเที่ยวเอง หรือ FIT  ซึ่งมีการใช้จ่ายอยู่ในระดับสูง และทำให้ภาพรวมของนักเดินทางที่เข้าพักโรงแรม รีสอร์ต ในช่วงไตรมาสแรกนี้ ค่อนข้างเป็นกลุ่มคนมีกำลังซื้อสูง ส่งผลให้ภาพรวมค่าต่อห้องพักปรับระดับเพิ่มขึ้น โดยขณะนี้ราคาห้องพักปรับขึ้นมา 25-30% เมื่อเทียบช่วงเดียวกัน ปี 65 และยังสามารถขยับเพิ่มได้อีก เนื่องจากค่าเฉลี่ย ADR ของโรงแรมในเครือออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ยังอยู่ที่ 3,000 กว่าบาทต่อคืน ซึ่งยังต่ำกว่าราคาห้องพักในปี 62

          อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากลุ่มนักท่องเที่ยว FIT จากจีนจะทยอยกลับมาท่องเที่ยวในประเทศไทย แต่กลุ่มนักท่องเที่ยวในตลาดกลาง-ล่าง หรือกลุ่มนักท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์นั้นยังคงไม่ฟื้น สังเกตได้จากการเช่า เหมาลำเครื่องบินที่เดินทางมาประเทศไทยของนัก ท่องเที่ยวจีนนั้นยังมีจำกัด และการท่องเที่ยวแบบ คณะทัวร์เช่ารถบัสนั้นมีให้เห็นน้อยมากซึ่งมีปัจจัย จากเศรษฐกิจจีนที่ซบเซามาหลายปี อย่างไรก็ตาม คาดว่าช่วงปลายปีนี้น่าจะเริ่มเห็นทัวร์จีนกลับมามากขึ้น

          แนวโน้มดังกล่าว ทำให้ “ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป” ยังไม่เดินหน้าลงทุนโครงการโรงแรมแห่งใหม่ แม้ว่าจะมีการจัดทำและเตรียมแผนการลงทุนในระยะยาวไว้แล้วก็ตาม ซึ่งสาเหตุที่บริษัทไม่เร่งขยายการลงทุนในช่วงนี้เกิดมาจาก 2 ปัจจัยหลักคือ

          1. สถานการณ์ในปัจจุบันไม่เหมาะกับการลงทุน เพราะต้นทุนการลงทุนทุกอย่างอยู่ในช่วงขาขึ้น ไม่ว่าจะเป็นราคาวัสดุก่อสร้าง แรงงาน ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นจากปัจจัยการปรับตัวของเงินเฟ้อ และต้นทุนพลังงาน รวมถึงต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นจากแนวโน้มการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ย

          2. การยกระดับแบนด์ ออนิกซ์ฯ เป็น “The Best Medium-size Hotel Management in SEA” ซึ่งจะทำให้ ONYX เป็นแบรนด์โรงแรมระดับภูมิภาค โดยเฉพาะในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ใช่ แค่เป็นแบรนด์โรงแรมของไทย เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดในภูมิภาคที่กำลังจะเป็นตลาดที่ได้รับความนิยมที่สุดของโลก เนื่องจากนักท่องเที่ยวสนใจที่จะมาเยือนสูงที่สุด โดยบริษัทจะมุ่งการยกระดับแบรนด์ ONYX เพื่อรองรับการแข่งขันกับเชนโรงแรมรายใหญ่ระดับโลก รวมถึงเชนระดับภูมิภาคด้วยกัน

          “จุดขายของ “ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป” คือมีความเชี่ยวชาญตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งในแง่การบริหารทาเลนต์ และกลุ่มลูกค้าผู้บริหารและพนักงานเป็นคนในภูมิภาคที่เข้าใจวัฒนธรรมการทำงานของเจ้าของโรงแรม ทำให้การทำงานราบรื่น และยังสามารถปรับเงื่อนไขให้เข้ากับความต้องการของผู้ลงทุนและพันธมิตรทางธุรกิจ ได้แบบ tailor-made เนื่องจากเป็นบริษัทขนาดกลางจึงทำให้เจ้าของสามารถเจรจากับผู้ลงทุนได้โดยตรง และยังมีความใกล้ชิดในการบริหารด้วย”

          ทั้งนี้  ONYX มีแบรนด์หลัก 3 แบรนด์ คือ อมารี (Amari) แบรนด์โรงแรมระดับบนเพื่อลูกค้ากลุ่มลักชัวรี, โอโซ่ (OZO) แบรนด์โรงแรมระดับกลาง เน้นลูกค้าที่ชอบการพักผ่อนอย่างมีสไตล์ และชามา (Shama) แบรนด์เซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ระดับบนที่รองรับทั้งการพักระยะสั้นจนถึงระยะยาว นอกจากนี้ยังมีโรงแรมที่เป็น White Label คือรับบริหารให้ภายใต้แบรนด์ของลูกค้า

          ปัจจุบัน ONYX มีโรงแรมและเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ในเครือรวม 44 แห่ง ตั้งอยู่ใน 7 ประเทศ คือ ประเทศไทย สปป.ลาว ประเทศมาเลเซีย เกาะมัลดีฟส์ ประเทศจีน ฮ่องกง และประเทศบังกลาเทศ โดยมีสัดส่วนโรงแรมที่เป็นเจ้าของเอง 18% และเป็นโรงแรมที่รับจ้างบริหาร 82% โดยมีเป้าหมายรายได้ในปี 66 จากแต่ละแบรนด์ ประกอบด้วย แบรนด์ “อมารี” 63% แบรนด์ “ชามา” 17% แบรนด์ “โอโซ่” 12%  และอีก 8% เป็นแบรนด์ อื่นๆ อาทิ  โรงแรมกลุ่ม White Label ONYX อมารี โรงแรมอมารี ภูเก็ต

          นายยุทธชัย กล่าวว่า และเพื่อรองรับการเติบโตของ “ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป” บริษัท มีแผนจะเปิดตัวโรงแรมใหม่ในช่วง 2-3 ปีจากนี้อีก 11 แห่ง ประกอบด้วย 1. โรงแรมอมารี ราญา มัลดีฟส์  2. อมารี นิเซโกะ ญี่ปุ่น 3. อมารี เวียงจันทน์ ลาว 4. อมารี โคลอมโบ ศรีลังกา 5. อมารี เดอะ ไทด์ บางแสน 6. ชามา ยะโฮร์บาห์รู มาเลเซีย 7. ชามา เมดินี อิสกันดาร์ มาเลเซีย 8. ชามา ฮับ ไหโข่ว จีน 9. ชามา ฮับ เมโทร เซาธ์ ฮ่องกง 10. ชามา ฮับ เฉียนถัง จีน 11. โอโซ่ เมดินี อิสกันดาร์ มาเลเซีย โดยโครงการที่จะเปิดภายในปี 66 ONYX อมารี

          ทั้งนี้ ทุกโครงการที่จะเปิดตัวเป็นโครงการที่ ONYX เข้าไปรับจ้างบริหารงาน ยกเว้น โรงแรมอมารี ราญา มัลดีฟส์ ที่บริษัทร่วมลงทุนกับพันธมิตร โดยถือหุ้นอยู่ 3-5% โดยลงทุนไปแล้ว100 ล้านบาท สำหรับโรงแรม “โรงแรมอมารี ราญา มัลดีฟส์” ถูกพัฒนาเป็นรีสอร์ตขนาดใหญ่บนเกาะมัลดีฟส์ ลงทุนโดยบริษัท Panchshil จากเมืองปูเน่ อินเดีย ซึ่งจะผลักดันให้เป็นรีสอร์ตแบบ ‘One of a Kind’ แห่งมัลดีฟส์ โดยโครงการอมารี ราญา มัลดีฟส์ ใช้งบลงทุนไปแล้วกว่า 4,000 ล้านบาท

          โดยในปี 66 นี้ ONYX ตั้งเป้าว่าจะมีรายได้สูงถึง 8,800 ล้านบาท หรือเติบโตจากปี 65 กว่า 60% ซึ่งสูงกว่าปี 65 และมากกว่ารายได้ปี 62 เป็นช่วงก่อนเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่ง ONYX สามารถสร้างรายได้กว่า 7,000 ล้านบาท

ที่มา: