ขุนคลังมั่นใจ ศก.โต 3.5-4.5% ยันดูแลเงินเฟ้ออยู่ในกรอบได้

21 ม.ค. 2565 828 0

          รมว.คลังมั่นใจ ศก.ปี 65 โต 3.5-4.5% จาก 4 แรงขับเคลื่อน เชื่อท่องเที่ยว ฟื้นหนุน GDP ปีนี้โตต่อเนื่อง ช่วยส่งออก-ลงทุน ขับเคลื่อน ศก. พร้อมดูแลเงินเฟออยู่ในกรอบได้
          นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ในปี 65 คาดว่าจะขยายตัวได้ที่ระดับ 3.5-4.5% เพิ่มขึ้นจากปี 64 ที่จีดีพีขยายตัวได้ประมาณ 1% โดยสิ่งที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ได้แก่ ภาคการส่งออกที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาที่คาดว่าจะขยายตัวได้ถึง 15-16% ซึ่งจะส่งผลดีไป ยังการลงทุนภาคเอกชนและการผลิตในภาคอุตสาหกรรมด้วย
          นอกจากนี้ ภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะทยอยฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง จะส่งผลดีกับธุรกิจโรงแรมและที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยว ซึ่งจะเชื่อมโยงไปยังแรงงานในภาคดังกล่าวให้มีรายได้เพิ่มขึ้น และเม็ดเงินลงทุนจากภาครัฐรวมกว่า 1.9 ล้านล้านบาท จากงบลงทุนปีงบประมาณ 65 วงเงิน 6 แสนล้านบาท งบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 3 แสนล้านบาท และเม็ดเงินจากการให้สัมปทานในโครงการอีอีซี เช่น โครงการก่อสร้างสนามบิน โครงการก่อสร้างท่าเรือ เป็นต้น วงเงินราว 1 ล้านล้านบาท จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีนี้
          สำหรับในปี 65 มีความท้าทาย ได้แก่ 1.การคงอยู่ของโควิด-19 โดยเฉพาะบทบาทของสายพันธุ์โอมิครอน ที่ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะระบาดนานแค่ไหน แต่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างแน่นอน แต่หากรัฐบาลเร่งดำเนินมาตรการเข้มงวดในการควบคุมการแพร่ระบาดโดยจำกัดพื้นที่การระบาดได้ เชื่อว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้น และคลี่คลายไปได้ ควบคู่ไปกับการเร่งฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่อง 2.การขาดแคลนแรงงาน ที่คาดว่าอาจจะเห็นได้ชัดเจนในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยเฉพาะในภาคการผลิตและภาคการท่องเที่ยว และ 3.ปัญหาอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเป็นสถานการณ์ชั่วคราวในช่วงครึ่งปีแรกเท่านั้น จากราคาอาหารและราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น
          “จีดีพีไทยปีที่แล้วที่ประเมินว่าจะโต 1% อาจจะต่ำกว่าที่คาดเพราะโควิด-19 ไม่ได้หายไปทั้งหมด ยังวนเวียนกลับมารอบ 3-4-5 ซึ่งรัฐบาลพยายามเร่งควบคุมปัญหาดังกล่าวอยู่ ส่วนสถานการณ์อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นนั้นเชื่อว่าจะเป็นเรื่องชั่วคราว โดยในปีนี้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของไทยอยู่ที่ 1-3% เป็นเรื่องที่คลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องร่วมมือกันดูไม่ให้อัตราเงินเฟ้อเกิน 3% บางช่วงอาจจะอยู่เกือบ 3% หรือเกินไปบ้าง ยังไม่สามารถทราบแน่ชัด ขึ้นอยู่กับการกำกับดูแลราคาอาหาร แต่ยืนยันจะดูแลให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบที่กำหนด ส่วนราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้นมีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงดูแลรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันอยู่ โดยเฉพาะดีเซลซึ่งมีผลต่อภาคขนส่ง ตามนโยบายคือ ควบคุมราคาไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร และจะใช้กลไกของกองทุนน้ำมันเข้ามาตรึงราคาดีเซลต่อไป” นายอาคม กล่าว
          ส่วนการรักษาระดับการบริโภคภาคประชาชน นั้น รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการคนละครึ่ง เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน ซึ่งเป็นมาตรการที่ดำเนินมาแล้ว 3 ระยะ และกำลังจะเริ่มระยะที่ 4 โดยมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องเริ่มเร็วขึ้น จากเดิมกำหนดวันที่ 1 มี.ค.-30 เม.ย.65 เป็นวันที่ 14 ก.พ.นี้ จะเปิดให้มีการลงทะเบียน และวันที่ 21 ก.พ.65 เริ่มใช้จ่าย เพื่อรักษาระดับการบริโภคภาคประชาชน
          รมว.คลัง กล่าวว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (63-64) ข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า จากการระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วง ทำให้หลายประเทศมีการใช้นโยบายการคลังในการพยุงเศรษฐกิจมากถึง 14% ของจีดีพี และมาตรการกึ่งการคลัง 4% ของจีดีพี โดยในส่วนของไทยเอง มาตรการด้านการคลังที่รัฐบาลได้ดำเนินการ คือ การเน้นการหาทรัพยากรเพิ่ม โดยการออก พ.ร.ก.กู้เงินสำคัญ 2 ฉบับ รวม 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อช่วยชดเชยรายได้ให้ประชาชนที่หายไปในช่วงที่ขาดรายได้ ธุรกิจหยุดชะงักจากมาตรการล็อกดาวน์ และการประกาศเคอร์ฟิว ซึ่งดำเนินการเหมือนกันเกือบทุกประเทศ เพราะเป็นเรื่องจำเป็น
          ทั้งนี้ เนื่องจากรัฐบาลมีการกู้เงิน 1.5 ล้านล้านบาท ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้หลายฝ่ายกังวลว่าหนี้จะเกินกรอบเพดานการก่อหนี้ที่ 60% ของจีดีพี ดังนั้นรัฐบาลจึงได้ขยายเพดานหนี้สาธารณะจาก 60% เป็น 70% ของจีดีพี เพื่อให้มีพื้นที่ทางการคลังในกรณีหากรัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้เงินกู้ สามารถกู้เพิ่มได้อีก 10% ของจีดีพี เป็นการเตรียมการไว้ในกรณีที่มีความจำเป็นในอนาคตเท่านั้น
          ขณะเดียวกัน ในภาคการท่องเที่ยวซึ่งมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 12% ของจีดีพีนั้น ได้มีการเร่งออกมาตรการต่างๆ โดยเฉพาะการเปิดประเทศ อย่างไรก็ตามรัฐบาลต้องคิดอยู่เสมอว่า จะทำอย่างไรให้การเปิดประเทศให้ระบบเศรษฐกิจเดินไปได้ควบคู่กับการป้องกันการระบาด
          พร้อมมองว่า แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยที่สำคัญในระยะต่อไป คือ การส่งเสริมเรื่องดิจิทัล อีโคโนมี ซึ่งจะมีส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เร็วขึ้น ผ่านการสนับสนุนสตาร์ทอัป ดิจิทัล และธุรกิจแพลตฟอร์มต่างๆ
          “ที่ถามกันว่า ปีนี้จะเป็นปีแห่งความหวัง หรือความฝันนั้น จริงๆ แล้วอยากให้เป็นเรื่องของความหวัง เพื่อที่จะได้มีแรงขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยโตได้ในระดับ 3.5-4.5% นั่นเป็นสิ่งที่รัฐบาลมีความตั้งใจในการดูแลเศรษฐกิจ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อไป” รมว.คลัง ระบุ

ที่มา: