STI เล็งชิงประมูลงานแบ็กล็อก4พันล้าน
STI ฉายภาพปี 2565 ทิศทางอุตสาหกรรมฟื้น โชว์งานในมือแน่น 4.02 พันล้านบาท จ่อเซ็นสัญญางานใหม่ไตรมาส 2/2565 มูลค่า 1 พันล้านบาท แย้มอยู่ ระหว่างชิงงานอีกกว่า 1 พันล้านบาท มั่นใจคว้าได้ 70-80% หนุนรายได้ปีนี้ทะลุ 2 พันล้านบาท ทำนิวไฮต่อ
นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI ผู้นำกลุ่มธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้างครบวงจร เปิดเผยว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมในปี 2565 บริษัทมองว่าในช่วงปลายปีน่าจะมีงาน โครงการต่างๆเข้ามามากขึ้น เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ปริมาณงานในระบบล่าช้ากว่า 2 ปี จึงมีจำนวนงานค้างท่ออยู่เป็นจำนวนมาก และหลังจากนี้จะทยอยออกมาในระบบมากขึ้น
ประมูลงานใหม่
โดยปีนี้บริษัทเตรียมเข้าประมูลงานใหม่ทั้งส่วนงานภาครัฐบาล และเอกชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีงานที่อยู่ระหว่างประมูลเพิ่มเติมมูลค่า 1,000 ล้านบาท หวังได้งาน 70-80% และจ่อเซ็นสัญญา งานใหม่มูลค่า 1,000 ล้านบาท (ไม่ร่วมงานประมูลข้างต้น) ในช่วงไตรมาสที่ 2/2565 นี้ แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถเปิดเผยชื่อโครงการได้
สำหรับปีนี้บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตของรายได้ทะลุ 2,000 ล้านบาท จากปัจจุบันบริษัทมีงานที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ วันที่ 9 มีนาคม 2565 จำนวน 4,025.7 ล้านบาท แบ่งเป็นงานภาครัฐ 70% งานภาคเอกชน 30% ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ ในระยะ 2-3 ปี
สำหรับโครงการใหม่ของบริษัท ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง แบ่งออกเป็นงานศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย, โครงการแกรนด์ เซ็นเตอร์ พอย ลุมพินี ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จปี ในปี 2567, โครงการแกรนด์ เซ็นเตอร์ พอย สุรวงศ์ คาดแล้วเสร็จในปี 2566, โครงการ คอนโดมิเนียม The Aspen Tree @ Forestias คาดแล้วเสร็จในปี 2567, โครงการ RSU International Hospital คาดแล้วเสร็จในปี 2567
งานออกแบบแล้ว
ปัจจุบันบริษัทได้ออกแบบเสร็จแล้วเป็นที่เรียบร้อย และอยู่ระหว่างติดตั้งเสาเข็ม อาทิ โครงการ โรงพยาบาลรามาธิบดีศรีอยุธยา,โรงพยาบาล สินแพทย์ รามอินทรา, โรงพยาบาลน่าน มูลนิธิกสิกรไทย, งานตกแต่งภายในกระทรวงการคลัง,งานทางเชื่อมการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีงานจากบริษัทย่อย บริษัท เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ จำกัด หรือ AEC บริษัทที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมชั้นนำ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ งานก่อสร้างด่านเก็บค่าผ่านทาง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี / สายบางปะอินนครราชสีมา เป็นต้น ซึ่งบริษัทคาดว่าจะมีรายได้ เข้ามาสนับสนุนความแข็งแกร่งให้กลุ่มธุรกิจมากยิ่งขึ้น
ที่ผ่านมา ถึงแม้สถานการณ์ โควิด-19 ส่งผล กระทบกับสภาวะเศรษฐกิจในประเทศเป็นวงกว้าง แต่ กลุ่มบริษัทยังสามารถสร้างรายได้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากบริษัทมีฐานลูกค้าที่หลากหลายตามประเภทโครงการและประเภทงานบริการต่างๆ กลุ่มบริษัทสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิ ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีและมีเสถียรภาพเมื่อ เทียบกับอุตสาหกรรมเดียวกัน และบริษัทมีฐานการเงิน ที่มั่นคงรวมถึงมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน เพียง 0.4 เท่า นอกจากนี้บริษัทยังมีโอกาสในการ รับงานโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ และองค์การภาคเอกชน ต่างๆ มากขึ้น หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย
หลังโควิดโตแรง
บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง STI ว่าหากสถานการณ์ โควิด-19 ดีขึ้นและมีการลดค่าใช้จ่ายลง โดยปี 2565 บริษัทตั้งเป้ารายได้ 2,000 ล้านบาท เจาะตลาดธุรกิจเมกะเทรนด์โรงพยาบาล อาคาร คลังสินค้าและ งานรัฐ จ่ายหุ้นปันผล 0.8 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่และ เงินปันผล 0.0694 บาท เพิ่มสภาพคล่องในการซื้อ-ขาย หุ้นและเตรียมย้ายเข้า SET ปรับกำไรปี 2565 และ 2566 ขึ้น +3.3% และ +8.2% จากการลดค่าใช้จ่าย
คงคำแนะนำ “ซื้อ” ใช้ราคาพื้นฐานปี 2565 ที่ 11.82 จากเดิม 10 บาท โดยอ้างอิงกับ P/E ที่ 17 เป็นระดับ P/E ที่ไม่สูง เมื่อเทียบกับการเติบโตของรายได้และกำไรสุทธิในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาที่โตเฉลี่ย CAGR ที่ 36.8% และ 25% ตามลำดับ และหากเทียบ กับกลุ่มรับเหมาธุรกิจที่ใกล้เคียงกันบริษัทยังมีการ เติบโตของรายได้และกำไรดีกว่า แต่ระดับ P/E ต่ำกว่า
นอกจากนี้บริษัทยังมีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากการลงทุนที่ทยอยฟื้นตัวในช่วงต่อจากนี้และฐานในปี 2564 ต่ำ มีโอกาสฟื้นตัวหลังจบโควิด-19
Reference: หนังสือพิมพ์ทันหุ้น