เจาะอสังหาปี 2565-2566 ดีมานด์-กำลังซื้อใหม่หนุน

28 Dec 2022 290 0

 

         

          ดร.ประศาสน์ ตั้งมติธรรม กรรมการที่ปรึกษา บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI รายงานว่าภาวะเศรษฐกิจในปี 2564 ได้กระเตื้องขึ้นในครึ่งปีหลัง ด้วยการเปิดการท่องเที่ยวภายในประเทศ ในปี 2565 ภาวะเศรษฐกิจขยายตัวมากขึ้นไปอีกจากการเปิดให้ชาวต่างชาติเข้ามาในราชอาณาจักรได้ ภายใต้การควบคุมในครึ่งปีแรกและเป็นอิสระในครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจได้รับการกระตุ้นเพิ่มขึ้นใน 2 เดือนสุดท้ายของปี 2565 จากการจัดประชุม APEC 2022 ของไทย

          โดยข้อมูลที่ใช้ดูภาวะตลาดที่อยู่อาศัยมีหลายตัวและเป็นตัวชี้ที่แตกต่างกัน ทั้งข้อมูลการขออนุญาตปลูกสร้างอาคารเป็นตัวชี้ล่วง ข้อมูลยอดทำสัญญาขายที่อยู่อาศัยเป็นตัวชี้ปัจจุบัน และข้อมูลการโอนกรรมสิทธิ์เป็นตัวชี้ย้อนหลัง

          ดังนั้น การดูภาวะตลาดปัจจุบันจึงต้องดูจากภาวการณ์ขายเป็นหลัก ซึ่งยังคงมีตัวแปรที่ใช้ได้ 2 ตัว คือจำนวนที่อยู่อาศัยที่ขายได้และยอด สัญญาของบริษัทอสังหาริมทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 10 แห่ง

          ซึ่งจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยที่ขายได้และยอดสัญญาเป็นตัวเงินที่ตกต่ำที่สุดในปี 2563 แต่กระเตื้องในปี 2564 และขยายค่อนข้างชัดเจนในปี 2565 กล่าวคือ จำนวนหน่วยที่ขายได้โดยประมาณ 110,000 หน่วยในปี 2565 สูงขึ้นจากจำนวนประมาณ 75,000 หน่วยในปี 2564 ส่วนยอดขายเป็นตัวเงินของบริษัท จดทะเบียนสูงขึ้นจากประมาณ 220,000 ล้านบาทในปี 2564 เป็นประมาณ 260,000 ล้านบาทในปี 2565 แม้ว่าตัวเลขทั้ง 2 จะอยู่บนฐานที่แตกต่างกันแต่ก็แสดงทิศทางชัดเจน

          ดีมานด์ใหม่หนุน

          ในด้านอุปทานนั้น ที่อยู่อาศัยใหม่ที่เปิดขายในปี 2565 เริ่มมีจำนวนกลับสู่ภาวะปกติคือ ที่อยู่อาศัยทุกประเภทรวมกันประมาณ 100,000 หน่วย โดยมีอัตราการขยายตัวในสินค้าประเภท อาคารชุดมากที่สุดจากประมาณ 20,000 ในปี 2564 เป็นประมาณ 54,000 หน่วยในปี 2565 สินค้าประเภทบ้านเดี่ยวก็มีการนำเสนอในจำนวนที่เพิ่มขึ้นที่ประมาณ 15,000 หน่วยจากปกติที่ 10,000-12,000 หน่วย ทั้งหมดนี้สะท้อนความมั่นใจของผู้ประกอบการที่ว่ากำลังซื้อในตลาดมีสูงขึ้น เพียงพอที่จะรองรับการทำตลาดตามปกติเช่นเมื่อก่อนโควิด

          ทั้งนี้หากย้อนกลับไปพิจารณายอดขายที่เป็นตัวเงินของบริษัทจดทะเบียน จะเห็นได้ว่าแม้แต่ผล กระทบจากการล็อกดาวน์อันเนื่องมาจากโควิดที่รุนแรงที่สุดในปี 2563 ก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่มากนัก กล่าวคือลดลงเพียงประมาณ 1% ของภาวะปกติเท่านั้น ถ้าหากดูในรายละเอียดแล้ว จะพบว่า กลุ่มผู้บริโภคหลักๆ ที่กลายมาเป็นกลุ่มที่สนับสนุนไม่ให้ยอดขายที่อยู่อาศัยตกลงมาไม่มากนักจากผล กระทบต่อรายได้ของโควิด ได้แก่ กลุ่มที่มีอายุ 26-30 ปีแทนที่จะเป็น 36-40 ปีดังแต่ก่อน กลุ่มนี้เป็นกลุ่ม ที่เริ่มทำงานไม่นานและ ไม่ได้รับผล กระทบมากนักจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยลง นอกจากนี้ระบบการเงินเคหะการใน ปัจจุบันนี้ก็อำนวยให้สามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ไม่ยากด้วยเงินผ่อน ต่อเดือนที่ต่ำกว่าแต่ก่อนมาก

          ท่องเที่ยว-ลงทุนเสริมแกร่ง

          สภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่จะเกี่ยวข้องกับตลาดที่อยู่อาศัยได้แก่ อัตราการขยายตัวโดยรวม ของระบบเศรษฐกิจในปี 2566 อย่างน้อยที่สุดน่าจะเท่ากับปี 2565 หรือ 3.4% ปัจจัยบวกที่น่า จะเสริมไปจากปี 2565 น่าจะได้แก่ภาคท่องเที่ยวและการลงทุนของภาคเอกชน การบริโภคภาคเอกชน ยังคงขยายตัวในอัตราที่สูงในไตรมาส 3 ปี 2565 และควรจะคงระดับต่อไปในปี 2566 ส่วนปัจจัยด้านลบ คือราคาน้ำมันที่สูงทำให้ภาคการค้าต่างประเทศไม่มีดุลการค้าเป็นบวกอย่างเช่นในปีก่อนๆ ปัจจัยนี้ เป็นเรื่องเดียวกับที่ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ แต่ว่าราคาที่อยู่อาศัยนั้นได้มีการปรับตัวจากราคาวัสดุและ ค่าแรงไปแล้วตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2565 ผลกระทบที่เหลือในปี 2566 จึงไม่น่าจะมาก ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยอันเนื่องมาจากภาวะอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทั่วโลกในปี 2566 มีบ้างแต่ไม่มาก น่าจะน้อยกว่าครึ่งหน่วยเปอร์เซ็นต์สำหรับการผ่อน 3 ปีแรก

          โดยรวมแล้วความต้องการที่อยู่อาศัยโดยรวมน่าจะรักษาไว้ได้ ในระดับไม่น้อยกว่า 120,000 หน่วยในปี 2566 ส่วนปัจจัยสนับสนุนจากด้านอุปทานได้แก่ การเสนอสินค้าใหม่ประเภทอาคารชุดออกสู่ตลาดจำนวนมาก จะเป็นแรงผลักดันส่วนหนึ่งที่ทำให้ ผู้ประกอบการต้องทำการตลาดอย่างหนักเพื่อรักษาผลการดำเนินงานให้ได้มากที่สุด กลุ่มผู้บริโภค อายุน้อยน่าจะเป็นเป้าหมายของสินค้าประเภทนี้

          ส่วนบ้านเดี่ยวเป็นสินค้าอีกประเภทหนึ่งจากด้านอุปทาน ที่จะสนับสนุนตลาดที่อยู่อาศัยโดยรวมได้ดี ในภาวะเศรษฐกิจที่อัตราการขยายตัวยังไม่สูง แต่อัตรา เงินเฟ้อสูง สินค้าที่เป็นประเภท Entry Level สำหรับกลุ่มที่อายุมากกว่ากลุ่มเริ่มทำงานที่เคยเป็นความต้องการหลักจะยังคงเป็นไปด้วยความยากลำบาก

 

 

Reference: