ศบศ.อัด4หมื่นล. คนละครึ่ง เฟส2

03 Dec 2020 547 0

          ศบศ.อนุมัติ 4.3 หมื่นล้าน กระตุ้นการบริโภคในประเทศต่อเนื่อง ถึงไตรมาส 1 ปีหน้า “คนละครึ่ง” เฟส 2 เปิดเพิ่ม 5 ล้านราย รัฐร่วมจ่าย 3,500 บาท รวม 3 เดือน พร้อมเพิ่มเงินบัตรสวัสดิการอีกเดือนละ 500 บาท ผุดไอเดียเที่ยวไทยวัยเก๋าหนุนเที่ยววันธรรมดา 1 ล้านคน

          นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจ การคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบ การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเห็นชอบมาตรการเพิ่มกำลังซื้อและกระตุ้นการบริโภคในประเทศ 2 โครงการวงเงินรวม 43,500 ล้านบาท โดยใช้เงินจากเงินกู้ตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ วงเงิน 1 ล้านล้านบาท

          ได้แก่ 1.มาตรการคนละครึ่งระยะ ที่สองวงเงิน 22,500 ล้านบาท โดยใช้ เงินจากเงินฟื้นฟูเศรษฐกิจวงเงิน 4 แสนล้านบาท โดยมาตรการมีรูปแบบการดำเนินเช่นเดียวกับระยะแรกที่ภาครัฐจะร่วมจ่าย 50% แต่ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน มาตรการในระยะ 2 มี รายละเอียดเพิ่ม คือ จะเปิดให้ลงทะเบียนรับสิทธิเพิ่มเติมอีก 5 ล้านคน โดยจะ ได้รับวงเงินคนละ 3,500 บาท

          ทั้งนี้ ผู้ที่ถูกตัดสิทธิจากโครงการคนละครึ่ง ระยะที่หนึ่ง เนื่องจากไม่ได้ใช้จ่ายภายใต้โครงการภายในวันที่กำหนดไว้หลังจากที่ลงทะเบียนรับสิทธิไปแล้ว จะยังสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการระยะที่สองได้ มีกำหนดการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 มี.ค.2564  และเพิ่มวงเงินผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งระยะที่หนึ่ง อีกคนละ 500 บาท โดยจะขยายระยะเวลาการใช้สิทธิมาตรการระยะที่หนึ่งออกไปจนถึงวันที่ 31 มี.ค.2564

          รายงานข่าวระบุว่า กระทรวงการคลังเตรียมเปิดให้มีการลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งเฟส 2 ในวันที่ 16 ธ.ค.นี้

          เพิ่มเงินสวัสดิการรัฐ3เดือน

          2.เห็นชอบมาตรการเพิ่มกำลังซื้อ ให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเสนอโดยกระทรวงการคลัง โดยการเพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ที่จำเป็นสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 3 เดือน วงเงินรวม 21,000 ล้านบาท จากเงินกู้ส่วนการเยียวยาเศรษฐกิจ โดยมีเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือน ม.ค.-มี.ค.2564

          นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ศบศ.เห็นชอบการปรับปรุงมาตรการเราเที่ยวด้วยกัน ได้แก่ 1.ปรับปรุงการใช้สิทธิจำนวนการจองห้องพักจากเดิมประชาชนจองที่พักได้ไม่เกิน 10 คืน (Room night) ต่อ 1 สิทธิ เพิ่มเป็น 15 คืนต่อ 1 สิทธิ 2.ขยายช่วงเวลาการจองจากเวลา 06.00-21.00 น.เป็นเวลา 06.00-24.00 น.

          3.เพิ่มจำนวนห้องพักจากเดิม 5 ล้านคืน เป็น 6 ล้านคืน ทั้งนี้ จำนวนห้องที่เพิ่มมาจะสนับสนุนเฉพาะ E-voucher แต่ไม่อุดหนุนค่าที่พัก 4.ขยายเวลาใช้สิทธิถึง 30 เม.ย.2564

          5.เพิ่มโรงแรมที่ไม่มีใบอนุญาตแต่มีหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีและมีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ให้ร่วมโครงการได้ 6.อนุมัติให้ ธุรกิจและบริการที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่ อุปทานการท่องเที่ยวใช้ระบบคูปองออนไลน์ได้ ประกอบด้วยธุรกิจการขนส่ง ภาคท่องเที่ยว ธุรกิจสปาหรือนวดเพื่อสุขภาพ

          7.ปรับปรุงเกณฑ์สนับสนุน ค่าบัตรโดยสารเครื่องบินจากเดิมรัฐสนับสนุน 40% แต่สูงสุดไม่เกิน 2,000 บาท ต่อ 1 สิทธิ เป็นสูงสุดไม่เกิน 3,000 บาท ต่อ 1 สิทธิ เฉพาะการเดินทางไปท่องเที่ยว ในจังหวัดที่ภาคท่องเที่ยวพึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติสูง ประกอบด้วย ภูเก็ต พังงา กระบี่ สุราษฎร์ธานี สงขลา เชียงใหม่ และ เชียงราย และ 8.กำหนดหลักเกณฑ์การลาสำหรับข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง และพนักงาน รัฐวิสาหกิจ สามารถลาพักร้อนในวันธรรมดาเพิ่มได้ 2 วัน โดยไม่ถือเป็นวันลา เมื่อใช้สิทธิในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน

          ส่วนโครงการกำลังใจได้เห็นชอบปรับปรุงโครงการ โดยให้บริษัทนำเที่ยว ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนสามารถลงทะเบียนร่วมโครงการได้ โดยบริษัท นำเที่ยวที่กรอกรายการนำเที่ยวไม่ครบ 15 รายการ สามารถกรอกเพิ่มเติมได้ ทั้งนี้ หากกรอกครบ 15 รายการแล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไข เพิ่มเติมได้อีก โดยมีเวลาเปิดให้สมัครภายใน 15 ธ.ค.2563

          ศบศ.หนุนสูงวัยท่องเที่ยว

          นอกจากนี้ ศบศ.เห็นชอบในหลักการโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว กลุ่มผู้สูงอายุ (ท่องเที่ยววัยเก๋า) โดยมี รายละเอียดคือผู้เข้าร่วมโครงการต้องมี อายุ 55 ปีขึ้นไป และจะต้องเดินทางท่องเที่ยวผ่านบริษัทนำเที่ยวโดยมีระยะเวลาของโปรแกรมการท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 3 วัน 2 คืน และเดินทางท่องเที่ยวได้เฉพาะวันธรรมดา (เข้าพัก ในวันอาทิตย์ถึงวันพฤหัสบดี) โดยมี ราคาค่าใช้จ่ายต่อโปรแกรมไม่น้อยกว่า 12,500 บาทต่อคนต่อโปรแกรม และรัฐบาลจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายผ่านบริษัทนำเที่ยวในลักษณะร่วมจ่ายคนละ 5,000 บาท

          สำหรับบริษัทนำเที่ยวที่จะเข้าร่วมโครงการจะต้องจดทะเบียนดำเนินธุรกิจ ก่อนวันที่ 1 ม.ค.2563 ทั้งนี้ บริษัท นำเที่ยวแต่ละรายสามารถรับ นักท่องเที่ยวผ่านโครงการได้ไม่เกิน 3,000 ราย โดยโครงการมีเวลาดำเนินการ 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่ ครม.มีมติคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยว สูงวัยเข้าร่วม 1 ล้านคน และรัฐจะอุดหนุนเงิน 5,000 ล้านบาท

          เล็งจัดปีท่องเที่ยวไทย

          นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ศบศ.รับทราบ ความคืบหน้าแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจในภาคการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตเสนอโดยประธานคณะที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี โดยมีข้อสรุปแนวทางมาตรการช่วยเหลือและฟื้นฟูที่สำคัญ ได้แก่ แนวทางการดำเนินการในระยะสั้นสำหรับการส่งเสริม ตลาดในประเทศประกอบด้วย การ ส่งเสริม การท่องเที่ยวภายในประเทศของชาวไทย โดยประกาศให้ปี 2564-2565 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวไทย

          รวมถึงการดำเนินมาตรการ ที่สำคัญอื่น อาทิ การดึงดูดกลุ่ม นักท่องเที่ยวใหม่ให้ท่องเที่ยวในวันธรรมดามากขึ้น การกระตุ้นการท่องเที่ยว ทางรถยนต์และรถบัส การจัดงานส่งเสริม การท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง และ การปรับปรุงโครงการเราเที่ยวด้วยกัน

          รวมทั้งมาตรการลดภาระ ค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการเช่น ค่าสาธารณูปโภค หรือมาตรการอุดหนุนเพื่อรักษาระดับการจ้างงานแนวทาง การดำเนินการในระยะสั้นสำหรับตลาดต่างประเทศ ซึ่งครอบคลุมการเร่งรัดมาตรการอำนวยความสะดวกให้แก่ ผู้เดินทาง อาทิ การใช้ระบบแพลตฟอร์มดิจิทัลในแบบกระบวนการครบวงจร หรือมุ่งเน้นผู้ใช้บริการเป็นหลัก โดยครอบคลุมตั้งแต่ขั้นตอนการขอวีซ่า หนังสือรับรองสถานภาพการเข้าไทยจนถึงระบบติดตามตัว และการแก้ไขปัญหาเส้นทางบินตรงจากต่างประเทศมาสู่ประเทศไทย

          ”คลัง”คาดใช้เวลาฟื้น2ปี

          นายอาคม  เติมพิทยาไพสิฐ  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาในงานสัมมนา Thailand 2021 : New Game, New Normal จัดโดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจว่า เศรษฐกิจไทยจะใช้เวลาฟื้นตัวอีก 2 ปี โดยปีหน้าคาดอัตราการขยายตัวได้4-4.5% แต่ด้านท่องเที่ยวจะกลับมาฟื้นตัวได้เต็มศักยภาพจะใช้เวลา4ปี ที่ 40 ล้านคน หรือในปี 2567 โดยปีหน้า คาดว่า จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามา 8 ล้านคนแต่การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ขึ้นกับสถานการณ์ทั่วโลกถ้าดีมากๆการฟื้นตัวก็จะเร็วกว่านี้

          เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวแล้วแม้ว่า3ไตรมาสที่ผ่านมาจะขยายตัวติดลบแต่หากเทียบไตรมาสต่อไตรมาสพบว่า ขยายตัวได้ดีขึ้น โดยไตรมาส 3 ปีนี้ ขยายตัวดีกว่าไตรมาส 2 ถึง 6.5% สะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจดีขึ้น แต่อาจไม่หวือหวา เพราะกำลังซื้อมีเฉพาะในประเทศเท่านั้นขณะที่กำลังซื้อต่างประเทศจากการท่องเที่ยวหายไป ซึ่งคิดเป็น 12% ของจีดีพี

          ”ปีหน้าเราจะเห็นจีดีพีที่เป็นบวก ถือว่าฟื้นตัวเร็วกว่าวิกฤติปี2540”

          ทั้งนี้ กระทรวงการคลังไม่ได้นิ่งนอนใจจะมีมาตรการออกมาดูแลเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เช่น มาตรการคนละครึ่ง เฟส 2 จะต่ออายุอีก 3 เดือน ส่วนมาตรการเราเที่ยวด้วยกันเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวจะขยายต่อหรือไม่อยู่ที่กระทรวงการท่องเที่ยวจะพิจารณาส่วนการตั้งกองทุนพยุงท่องเที่ยวนั้น  เป็นข้อเสนอของภาคเอกชนซึ่งเราก็อยู่ระหว่างการหารือ

          สำหรับปี 2564 สิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงมากคือการพัฒนาดิจิทัล ที่มีผลต่อความเปลี่ยนแปลงต่อความเป็นอยู่ของประชาชนในส่วนกระทรวงการคลังจะพัฒนาระบบรองรับการ เบิกจ่ายระหว่างรัฐกับรัฐและรัฐกับ เอกชน และปรับโครงสร้างภาษีที่จะ ออกมารองรับการจัดเก็บรายได้ที่เพิ่มขึ้น

          โดยการจัดเก็บภาษีสินค้าและบริการออนไลน์ให้มากขึ้นและช่วยมากขึ้นภาคอุตสาหกรรมที่จะมีการเติบโตเช่นดิจิทัลสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ

          หนุนต่อมาตรการ3-6เดือน

          นายสุพันธ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปี 2564 จะดีขึ้นแต่ต้องระวังปัจจัยเสี่ยง โดยเฉพาะการท่องเที่ยวน่าห่วงที่สุดแม้จะมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว และคนไทยท่องเที่ยวมากขึ้นแต่ก็ยังน้อยกว่าที่ผ่านมา

          ”ต้องการให้กระตุ้นเศรษฐกิจ ต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการคนละครึ่ง ช้อปดีมีคืน เราเที่ยวด้วยกันต่ออีก 3-6 เดือน”

          สำหรับการติดโควิด-19ในประเทศไม่อยากให้ตระหนกจนทำให้เศรษฐกิจชะงัก ส่วนจะกระทบการค้าชายแดนหรือไม่นั้นต้องอยู่กับเมียนมาจะ ล็อกดาวน์หรือไม่ หากล็อกดาวน์กระทบ การส่งออก

Reference: