วัสดุ-รับเหมาปรับเกมสู้โควิดรุกโครงการแนวราบ-ชิงงานรัฐ
ธุรกิจจำหน่ายผนังคอนกรีตสำเร็จรูปและรับเหมาก่อสร้าง ปรับกลยุทธ์ครึ่งหลังปี 64 รับมือผลกระทบจากปิดแคมป์คนงานก่อสร้าง เศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง วิกฤตโควิด-19 ระบาดระลอกใหม่ “CPANEL” เผยธุรกิจยังเติบโต แม้ภาพรวมอสังหาฯชะลอ เผยผนังคอนกรีตสำเร็จรูป Precast แก้ปัญหางานก่อสร้าง ผู้ประกอบการ ผู้รับเหมา เน้นความรวดเร็ว ลดสต๊อก ลดต้นทุน ชูกลยุทธ์กระจายความเสี่ยงขยายฐานลูกค้าโครงการใหม่ ทั้งแนวราบ และแนวสูง โชว์แบ็กล็อก 900 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 40% ด้าน “โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิสฯ” ลุ้นรับงานใหม่ภาครัฐ-เอกชน รักษาระดับยอดในมือ 483 ล้านบาท พร้อมประมูลงานต่อเนื่อง
นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (CPANEL) ผู้ผลิตและจำหน่ายผนังคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast) เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง แนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ในภาวะอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจ และประกาศของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 หรือ ศบค. ในการปิดไซต์งานก่อสร้างและที่พักแรงงานภายในพื้นที่กทม.ปริมณฑล และ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้รับผล กระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวเล็กน้อย และเป็นผลระยะสั้น เนื่องจากลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่ เป็นผู้ประกอบการที่มีความสามารถในการเติบโต อีกทั้งมีการขยายโครงการออกต่างจังหวัดมากขึ้น จึงมีคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ผนังคอนกรีตสำเร็จรูป Precast ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่มีการประกาศมาตรการรับมือต่างๆ อาทิ การจำกัดจำนวนคนในพื้นที่ โดย Precast สามารถลดต้นทุนแรงงานประมาณ 50% อีกทั้งสามารถแก้ปัญหางานก่อสร้าง ช่วยลดสต๊อก ลดระยะเวลาและขั้นตอนในการก่อสร้าง (รวมงาน Finishing) ประมาณ 30% ส่งผลให้ต้นทุนรวมของการก่อสร้างลดลง 15%
ในอนาคต Precast จะเข้ามาทดแทนการก่อสร้างรูปแบบเดิมมากขึ้น โดยเฉพาะการก่อสร้างบ้านแนวราบ ประมาณการณ์ปีละ 3% โดยสถานการณ์โควิด-19 เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคนี้ ทำให้ต้องการพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น อีกทั้งเทคโนโลยีการขนส่งทุกประเภทไม่ว่าจะเป็น บริการส่งถึงบ้าน หรือ ระบบขนส่งมวลชน จะเป็นปัจจัยสนับสนุนทำให้ประชากรกระจายตัวออกไปอยู่นอกเมือง ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้มีความต้องการบ้านแนวราบมากขึ้น นายชาคริต กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนเพิ่มปริมาณ คำสั่งซื้อลูกค้าเดิม พร้อมกระจายความเสี่ยงขยายฐานลูกค้าโครงการใหม่ทั้ง แนวราบ และแนวสูง ถือเป็นการขยายโอกาสการรับงานให้มีความหลากหลาย ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาและรอเซ็นสัญญาหลายโครงการ
ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงเดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีมูลค่างานในมือ (Backlog) 900 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ภายใน 3 ปี ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตผนังคอนกรีตสำเร็จรูปของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 60-70% โดยบริษัทตั้งเป้าอัตราเติบโตของยอดขายปีนี้อยู่ที่ 40%
PPS ลุ้นรับงานใหม่ภาครัฐ-เอกชน เผยกระแสเงินสดอยู่ในเกณฑ์ดี
ดร.พงศ์ธร ธาราไชย ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (PPS) เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลัง แนวโน้มปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากบริษัทเซ็นสัญญาโครงการก่อสร้างงานภาครัฐ จากกรมโยธาธิการและผังเมือง รวมมูลค่ากว่า 21 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมี Backlog ประมาณ 483 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 175 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทยังมีโอกาสได้รับงานจากกลุ่มค้าปลีกอย่างต่อเนื่อง โดยมีงานที่รอเซ็นสัญญามูลค่ารวม 34 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่ ทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน
ทั้งนี้ จากมาตรการการปิดไซต์งานก่อสร้าง บริษัทได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวเล็กน้อย และเป็นผลระยะสั้น เนื่องจากโครงการก่อสร้างที่บริษัทควบคุมงาน หากหยุดก่อสร้างในทันทีหรือการดำเนินการล่าช้า อาจก่อให้เกิดความเสียหายเชิงโครงสร้างด้านวิศวกรรมจนยากต่อการแก้ไข หรือเกิดอันตรายแก่ประชาชนที่สัญจรไปมาหรือชุมชนโดยรอบ
บริษัทมุ่งเน้นที่จะลดค่าใช้จ่าย ควบคุมต้นทุนจากการดำเนินงาน และสามารถรับรู้รายได้จากงานทั้งภาครัฐและเอกชนต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโต ซึ่งคาดว่าในปี 64 นี้ จะมีความสามารถการทำกำไรดีขึ้น ฐานะการเงินอยู่ในเกณฑ์ดี มีกระแสเงินสดเพียงพอในการ ดำเนินงาน”.
Reference: ผู้จัดการรายวัน 360 องศา