ลุมพินี วิสดอม ชี้Q4อสังหาฯแห่ผุดโปรเจกต์ หวังกระตุ้นกำลังซื้อ-ยอดขายโค้งสุดท้ายปี65

02 Nov 2022 215 0

 

          ”ลุมพินี วิสดอม” ระบุผู้ประกอบการโหมเปิดโครงการใหม่โค้งสุดท้าย หวังกระตุ้นยอดขาย Q4/65 ส่งผลให้ปี 65 ตลาดรวมเติบโตทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่ามากกว่าเท่าตัว แม้ยังเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจจากภาวะเงินเฟ้อ ภาระหนี้ครัวเรือน และอัตราดอกเบี้ยที่ขยับสูงขึ้น

          นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ บริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่าแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 65 นี้ผู้ประกอบการอสังหาฯ ยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าต้องเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากภาวะเงินเฟ้อที่ขยับสูงขึ้นเกินกว่า 5% มาอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้น บวกกับคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 65 เมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือนแรกของปี

          ในขณะที่ภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงแตะระดับ 90% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(Gross Domestic Products:GDPs) ก็ตาม เนื่องจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ได้มีการชะลอแผนการเปิดตัวโครงการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563-2564 ซึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ทำให้สินค้าคงเหลือมีจำนวนลดลง ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จำเป็นต้องเดินหน้าเปิดตัวโครงการเพื่อเพิ่มสินค้าและกระตุ้นกำลังซื้อในตลาด

          ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ย.65) ผู้ประกอบการอสังหาฯมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑลรวม 286 โครงการ คิดเป็นจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 76,220 หน่วยคิดเป็นมูลค่ารวม 324,801 ล้านบาท หรือเติบโต 124% และ 87% ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 64 เป็นการเปิดตัวคอนโดมิเนียม 72 โครงการ จำนวน 39,431 หน่วย เพิ่มขึ้น 235% มูลค่า 96,836 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58%โดยมีอัตราขายเฉลี่ย ณ วันเปิดตัวโครงการ 31% และเป็นการเปิดตัวบ้านพักอาศัย 214 โครงการ จำนวน 36,789 หน่วย เพิ่มขึ้น 65% มูลค่า 227,965 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 103% อัตราขายเฉลี่ย ณ วันเปิดตัวโครงการ 14% โดยโครงการบ้านพักอาศัยที่เปิดตัวสูงสุดเป็นโครงการประเภท ทาวน์เฮาส์ ที่ระดับราคา 2-3 ล้านบาท ยอดขายเฉลี่ย ณ วันเปิดตัวโครงการ 10% ในทุกทำเลรอบตัวเมืองกรุงเทพฯ เช่น รังสิต, บางบัวทอง และ บางนา ถัดมาเป็นบ้านแฝด เปิดตัวสูงสุดในระดับราคา 3-6 ล้านบาท ยอดขายเฉลี่ย ณ วันเปิดตัวโครงการ 11% อยู่ในทำเล บางนา บางพลี สมุทรปราการ, บางบัวทอง นนทบุรีและบ้านเดี่ยว เปิดตัวสูงสุดด้วยราคา 6-10 ล้านบาท ยอดขายเฉลี่ย ณ วันเปิดตัวโครงการ 12% ในทำเลลำลูกกา, บางพลี สมุทรปราการ, บางบัวทอง นนทบุรี

          ขณะที่การโอนกรรมสิทธิที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 6 เดือนแรกของปี 2565 (ม.ค.-มิ.ย. 65) มีจำนวนหน่วยการโอนกรรมสิทธิ ทั้งสิ้น 87,316 หน่วย เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับยอดโอนกรรมสิทธิในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 6 เดือนแรกของปี 64 ที่มีจำนวนหน่วยการโอนทั้งสิ้น 81,553 หน่วย ในขณะที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ในช่วง 6 เดือนของปีนี้ อยู่ที่ 297,159 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.12% เมื่อเทียบกับมูลค่าการโอนกรรมสิทธิที่ 293,845 ล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 64

          ”จากข้อมูลการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ซึ่งเป็นด้านการซัปพลายกับยอดการโอนกรรมสิทธิในช่วงครึ่งแรกของปี 65 ซึ่งเป็นด้านของดีมานด์จะเห็นได้ว่ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้การเติบโตของเศรษฐกิจจะมีปัจจัยลบเข้ามากระทบทั้งผล กระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน อัตราเงินเฟ้อที่ขยับสูงขึ้น สะท้อนให้เห็นกำลังซื้อที่เป็นความต้องการที่แท้จริง (Real Demand) ที่มีอยู่ในตลาดโดยเฉพาะตลาดที่อยู่อาศัยที่ระดับราคา 3-5 ล้านบาทที่มีกำลังซื้อสูง ทั้งอาคารชุดและบ้านพักอาศัย” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว

          จากแนวโน้มดังกล่าวเชื่อว่า ผู้ประกอบการอสังหาฯ ยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยอย่างต่อเนื่องในช่วงโค้งสุดท้ายของปี เพื่อกระตุ้นและตุ้นยอดขาย ที่จะสร้างรายได้ต่อเนื่องในปี 66-67 โดยคาดว่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าการเปิดตัวในปี 65 เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 64 เพื่อสะสมยอดขายและเพิ่มสินค้ามาทดแทนจำนวนสินค้าที่ลดลงซึ่งเป็นผลมาจากการชะลอการเปิดตัวโครงการในปี 63-64

          ในขณะเดียวกัน ราคาที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น 5-8% ในปี 66 ตามภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทั้งจากราคาที่ดินที่สูงขึ้นตามการประเมินราคาที่ดินใหม่ที่กรมธนารักษ์ประกาศใช้วันที่ 1 ม.ค. 66 ประมาณ 5-8% เมื่อเทียบกับปี61 ผนวกกับอัตราค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับตัวสูงขึ้น 5-8% (ขึ้นอยู่กับพื้นที่) ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา รวมถึงราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นตามต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากค่าพลังงานที่สูงขึ้น ทำให้ผู้ซื้อที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อการอยู่อาศัย (Real Demand) ตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในราคาเดิมในช่วงนี้ จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการ อสังหาฯ ที่จะเปิดตัวโครงการและแคมเปญทางการตลาดเพื่อกระตุ้นและตุนยอดขายในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสทองของผู้ซื้อที่จะได้สินค้าราคาเดิม

 

Reference: