มาแล้ว แพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ
”สุพัฒนพงษ์” เผยประชุม ครม.วันนี้ (1 มิ.ย.) คลังชงแพ็กเกจกระตุ้น-พยุงเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง รวมวงเงิน 1.4 แสนล้านบาท ช่วยดันจีดีพีปีนี้โตได้ 1.5-2.5% ขณะที่ผู้ว่าการ ธปท.ยันโควิด-19 ระลอก 3 ฟาดหางเศรษฐกิจไทยสะบักสะบอม ทำโอกาสฟื้นตัวสู่ระดับก่อนโควิดลากยาวไปไตรมาสแรกปี 66 จากเดิมคาดไตรมาส 2-3 ปี 65 เตรียมปรับประมาณการจีดีพีไทยปีนี้ใหม่
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (1 มิ.ย.) กระทรวงการคลังจะเสนอมาตรการดูแลประชาชนจากผลกระทบของโควิด-19 ระยะที่ 2 ซึ่งชุดมาตรการจะเริ่มใช้ในเดือน ก.ค.-ธ.ค.64 กรอบวงเงิน 140,000 ล้านบาท มั่นใจว่าเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งจากรัฐบาล และประชาชน จะช่วยให้เศรษฐกิจในปี 64 ขยายตัวในกรอบ 1.5-2.5% ตามที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดการณ์ไว้ ส่วนจะขยายตัวได้ถึง 2.5% หรือไม่ยังประเมินยาก ถึงแม้รัฐบาลจะประเมินไว้ว่าการระบาดระลอก 3 จะควบคุมได้ในเดือน ก.ค.นี้ แต่ต้องระวังจะมีระลอก 4 หรือไม่
สำหรับมาตรการที่เสนอ มี 4 โครงการ ได้แก่ 1.มาตรการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 วงเงิน 93,000 ล้านบาท ครอบคลุม 31 ล้านคน วงเงิน 3,000 บาทต่อคน โดยผู้ประกอบการขนาดเล็กถึงกลาง จะได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายของประชาชน 2.โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ คาดจะมีผู้เข้าร่วม 4 ล้านคน โดยรัฐสนับสนุนบัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Voucher) ให้แก่ผู้ที่ได้รับสิทธิโครงการสูงสุดไม่เกิน 7,000 บาทต่อคน โดยจะได้ e-Voucher ช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย.64 เพื่อใช้จ่ายในเดือน ส.ค.-ธ.ค.64 คาดจะมีการใช้จ่ายคนละ 60,000 บาท ช่วยให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 240,000 ล้านบาท ส่วนภาครัฐจะใช้เงินในโครงการนี้ 28,000 ล้านบาท
3.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3 โดยช่วยเหลือเพิ่มเติมเดือนละ 200 บาท ระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือน ก.ค.-ธ.ค.64 ครอบคลุมประชาชน 13.6 ล้าน วงเงิน 16,400 ล้านบาท และ 4.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ รวมทั้งกลุ่มผู้พิการและผู้สูงอายุ 2.5 ล้านคน เดือนละ 200 บาท ระยะเวลา 6 เดือน ใช้งบประมาณ 3,000 ล้านบาท “เศรษฐกิจมีหลายส่วนที่มีสัญญาณที่ดีขึ้น โดยเฉพาะภาคการส่งออกที่ฟื้นตัวชัดเจน ในเดือน เม.ย. มูลค่าส่งออกที่ไม่รวมทองคำขยายตัวได้ถึง 25% ซึ่งการส่งออกถือว่าเป็นกุญแจสำคัญอีกอย่างหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีนี้”
ส่วนการลงทุนภาครัฐและภาคเอกชน ต้องขับเคลื่อนให้ลงทุนมากที่สุด โดยการลงทุนภาครัฐไม่น้อยกว่า 70% งบลงทุนเหลื่อมปีไม่น้อยกว่า 85% งบลงทุนรัฐวิสาหกิจไม่น้อยกว่า 70% ส่วนแผนงานและโครงการตามพระราชกำหนดฯ เงินกู้วงเงิน 1 ล้านล้านบาท ต้องให้เบิกจ่ายสะสม ณ สิ้นปีงบ 64 ไม่น้อยกว่า 80% ของวงเงินกู้ สำหรับการลงทุนภาคเอกชนดีขึ้นมาก โดยไตรมาส 1 ปีนี้ คำขอส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพิ่มขึ้นถึง 80% ในแง่ของมูลค่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรัฐบาลจะผลักดันภาคเอกชนที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนไปแล้ว ให้เร่งรัดลงทุนโดยเร็ว รวมทั้งชักจูงการลงทุนของอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สำคัญต่อการเติบโตในอนาคต เช่น อุตสาหกรรมทางการแพทย์ รถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น
ด้านนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การแพร่ระบาดระลอก 3 รวมถึงการจัดหาและกระจายวัคซีนที่ยังไม่แน่นอน ส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยล่าช้าออกไปจากที่ ธปท.คาดไว้ โดยคาดอาจต้องรอถึงไตรมาสแรกปี 66 เพื่อที่จะกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับก่อนโควิด-19 ระบาด
ส่วนนางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท.กล่าวว่า เดือนมิ.ย.64 ธปท.เตรียมปรับประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปีนี้ใหม่ เพราะล่าสุดตัวเลขเศรษฐกิจเดือน เม.ย.64 หากเทียบกับเดือน มี.ค.64 ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ระลอก 3 อย่างชัดเจน คาดว่าจะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเดือน พ.ค. ชะลอลงต่อเนื่อง และกระทบการใช้จ่าย การลงทุน และการผลิต รวมถึงด้านแรงงาน ทำให้ ธปท.ต้องจับตาดูอย่างต่อเนื่อง แต่การส่งออกปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง และมาตรการเยียวยาของรัฐบาลช่วยพยุงเศรษฐกิจได้บ้าง
”เศรษฐกิจเดือน เม.ย.เริ่มเห็นผลกระทบของโควิดระลอก 3 ชัดขึ้น ประเมินว่าการฟื้นตัวจะล่าช้าออกไปเป็นไตรมาสแรกปี 66 จากที่เคยคาดไว้เมื่อเดือน มี.ค.ว่าจะกลับสู่ช่วงก่อนโควิดได้ในไตรมาส 2 หรือ 3 ของปี 65”
ขณะที่นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ปีนี้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตเพียง 1.5% โดยหัวใจของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขึ้นอยู่กับความรวดเร็วของการฉีดวัคซีนโควิด-19 หากรัฐบาลฉีดให้กับประชาชนได้ในเดือน ส.ค. หรือเดือน ก.ย.64 และในช่วงไตรมาส 4 กระทรวงการคลังใช้มาตรการยิ่งใช้ยิ่งดี ที่เน้นกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายของนิติบุคคล หรือโครงการคนละครึ่งที่ออกมากระตุ้นการใช้จ่ายประชาชนเพิ่มเติม ก็จะช่วยให้เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้
Reference: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ