ผู้ว่าธปท. ยันศก.ไม่ถดถอย ชี้ไทยเหนื่อยเงินเฟ้อมากสุด

26 Jul 2022 358 0

 

          ลุ้นปีนี้ทัวริสต์6ล้านคน ไทยรับอานิสงส์ทางอ้อม ยูเครน-หมีปล่อยธัญพืช

          ’เศรษฐา ทวีสิน’ แนะปรับ ครม.ฟื้น ศก. ชงขึ้นค่าแรงเพิ่มรายได้ประชาชน ผู้ว่าการ ธปท.ยัน ศก.ไทยไม่ถดถอย แต่เงินเฟ้อเจอแน่ ลุ้นปีนี้ต่างชาติเที่ยวไทย 6 ล้านคน

          ผู้ว่าการธปท.ยันศก.ไม่ถดถอย

          เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม นาย เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันมีการพูดกันมากและแสดงความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย ส่วนตัวคาดว่าโอกาสจะเกิดขึ้นไม่ได้สูงนัก หลังจากที่ได้เข้าร่วมประชุมกับตัวแทนประเทศต่างๆ พบว่ามีความกังวลเรื่องนี้น้อย เรื่องที่ประเทศส่วนใหญ่กังวลเป็นเรื่องของเศรษฐกิจที่เติบโตร้อนแรงเกินไปจนทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว (overheat) ดังนั้น ภาพที่เศรษฐกิจจะถดถอยยังไม่สูงมากนัก แต่ยอมรับว่ามีบางประเทศที่เศรษฐกิจอาจเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ เช่นเศรษฐกิจฝั่งยุโรปที่ได้รับผลกระทบเรื่องก๊าซธรรมชาติที่ต้องนำเข้าจากรัสเซียซึ่งเป็นผลมาจากสงครามระหว่างยูเครนและรัสเซียยืดเยื้อ

          นายเศรษฐพุฒิกล่าวว่า สำหรับไทยช่วงเวลานี้คาดว่าเศรษฐกิจจะไม่เข้าสู่สภาวะถดถอย หากดูภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐปัจจุบันที่มีความไม่สมดุล เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็ว ทำให้เกิดเป็นความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อมากกว่าความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจถดถอย สำหรับฝั่งยุโรปจะมีบางประเทศเปราะบางและได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนก๊าซ รวมถึงเผชิญปัญหาห่วงโซ่อุปทานชะงักงัน ขณะที่จีนปัญหาจะเป็นการขยายตัวช้า แต่ไม่น่าจะถึงขั้นถดถอย การเติบโตช้ามาจากการใช้มาตรการล็อกดาวน์ประเทศ หากคลี่คลายหรือผ่อนมาตรการลงเศรษฐกิจอาจพลิกกลับมาเติบโต “ถ้าถามว่าเปอร์เซ็นต์ หรือโอกาสที่ไทยจะเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยเยอะหรือไม่นั้น ก็ยังถือว่าไม่” ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวย้ำ

          แต่เลี่ยงไม่ได้เจอเงินเฟ้อแน่

          นายเศรษฐพุฒิกล่าวว่า หากเกิดสภาวะถดถอยในบางประเทศ และสมมุติว่าเกิดขึ้นต่อเนื่องจนส่งผลกระทบถึงไทย ก็อาจไม่ร้ายแรงมาก หรือถ้าเศรษฐกิจโลกเกิดภาวะถดถอย ความเสี่ยงที่ไทยจะได้รับผลกระทบคือด้านการส่งออก รวมถึงตัวที่เป็นความเสี่ยงจริงๆ คือการท่องเที่ยวที่จะหายไปเยอะมาก เศรษฐกิจไทยพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก หากเกิดภาวะถดถอยก็ขึ้นอยู่กับนักท่องเที่ยวจากยุโรปว่าจะเข้าไทยหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ถ้ามองปัจจุบันแม้สถานการณ์โลกยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ ยังเชื่อว่าภาคท่องเที่ยวจะไปได้ดี เนื่องจากตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอาจสูงถึง 6 ล้านคนทั้งปีนี้ แม้ได้นักท่องเที่ยวกลับมาตัวเลขไม่สูงก็ยังไม่ใช่ฐานที่ต่ำมาก

          ”เราจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยมีโอกาสน้อยมาก เพราะว่าฐานต่ำ หากนักท่องเที่ยวกลับมาก็จะฟื้นในแง่ของเศรษฐกิจ แต่เงินเฟ้อเจอแน่ ไม่เถียง ถ้าบอกเศรษฐกิจจะถดถอย เมื่อดูเศรษฐกิจปี 2564 ขยายตัว 1.5% และเศรษฐกิจช่วงไตรมาส 1/2565 ขยายตัวถึง 2.2% จึงเป็นฐานที่มีการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง ทำให้โอกาสจะเห็นเศรษฐกิจขยายตัวเพียง 1.5% ในปีนี้น้อยมากๆ เนื่องจากนักท่องเที่ยวยังไงก็จะกลับมา” นายเศรษฐพุฒิกล่าว

          อนุฯฉก.ศก.ประชุดนัดแรกแล้ว

          นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เรียกประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจครั้งแรกแล้ว โดยได้หารือและวิเคราะห์ถึงสถานการณ์เศรษฐกิจต่างๆ คณะอนุกรรมการชุดนี้ประกอบด้วย หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องด้านเศรษฐกิจ เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นต้น

          ”คณะอนุกรรมการชุดนี้เป็นชุดที่ดีมาก เพราะประกอบไปด้วยหน่วยงานด้านเศรษฐกิจครอบคลุมทุกเรื่อง และนำข้อมูลทุกด้านมาวิเคราะห์ ว่าควรจะมีอะไรมาช่วยดูแล และแน่นอนว่าต้องมีมาตรการออกมา แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะเป็นมาตรการอะไรบ้าง เนื่องจากการประชุมยังไม่เสร็จสิ้นทั้งหมด เพราะครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งแรก” นายกฤษฎากล่าว และว่า สำหรับเรื่องที่คณะอนุกรรมการได้ประชุมจะมีเรื่องของเศรษฐกิจทุกด้าน อาทิ เรื่องการเกษตร ราคาสินค้า การพาณิชย์ พลังงาน เศรษฐกิจภาพรวม ผลกระทบจากวิกฤตความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ส่วนหลักการของแผนการรับมือนั้นจะดูทั้งมาตรการระยะสั้นว่าควรมีอะไร และมาตรการระยะยาว เพื่ออนาคตหากมีอะไรเข้ามา จะได้มีมาตรการรับมือได้ทัน และทำให้ลดผลกระทบน้อยลงด้วย

          ชงชุดใหญ่ ’ บิ๊กตู่’ หัวโต๊ะ25ก.ค.

          นายกฤษฎากล่าวว่า หลังจากนี้ หากการประชุมของอนุกรรมการหารือกันครบถ้วนแล้ว จะนำเสนอต่อคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานต่อไป

          ”เราก็เร่งทำงานกันอย่างเต็มที่ ถ้าคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อบริหารสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจมีการเรียกประชุม วันที่ 25 กรกฎาคม ก็พร้อมรายงานความคืบหน้า ให้ที่ประชุมคณะกรรมการรับทราบ สิ่งที่น่าดีใจคือทุกหน่วยงานมาร่วมบูรณาการและทำงานด้วยกัน แต่ละเรื่องนั้นจะไม่ใช่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งแล้ว แต่ทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วม แม้แต่กระทรวงมหาดไทยก็เข้ามาช่วยกัน” นายกฤษฎากล่าว และว่า มีหลายเรื่องกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวข้องและช่วยด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานราก ตัวอย่างเช่น ค่าธรรมเนียม ค่าบริการ เกี่ยวกับท้องถิ่น มีส่วนช่วยอย่างมาก เรื่องเกี่ยวกับกลุ่มฐานราก

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ภาคเอกชนได้แสดงความเห็นถึงการตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจและอนุกรรมการว่าไม่น่าจะช่วยแก้ไขสถานการณ์เศรษฐกิจขณะนี้ได้ เนื่องจากรายชื่อกรรมการล้วนแต่เป็นผู้ที่อยู่ในรัฐบาลทั้งสิ้น จึงอยากเสนอให้รื้อคณะกรรมการดังกล่าวดึงคนนอกอย่างภาคเอกชนเข้ามาร่วมแก้ไขด้วย น่าจะมีมุมมองแตกต่าง เกิดการแก้ไขโดยส่วนรวมได้มากขึ้น

          ’เศรษฐา’ แนะปรับครม.ฟื้นศก.

          นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการโหวตการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมาเป็นไปตามคาด แต่ว่ารัฐบาลก็ต้องมาพิจารณาว่าข้อมูลฝ่ายค้านนำมาเสนอต่อที่ประชุมสภา มีข้อมูลที่อะไรเป็นสาระ มีความเป็นไปได้จะต้องนำไปตรวจสอบต่อหรือจัดการต่อไป สำหรับผลโหวตของรัฐมนตรีรายบุคคลแม้จะผ่านหมด แต่ไม่อยากให้นำคะแนนมาดูเป็นประเด็นหลักในการจะนำไปสู่การพิจารณาจะปรับหรือไม่ปรับคณะรัฐมนตรี ต้องนำเรื่องภาพใหญ่ของเศรษฐกิจมาเป็นประเด็นหลักในการพิจารณา เนื่องจากระยะเวลาที่เหลืออยู่ของรัฐบาลอีก 7-8 เดือนนับจากนี้ จะทำอย่างไรเพื่อให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้ ประเทศชาติจะได้เดินต่อไปมากกว่า

          ”หากเห็นว่ารัฐมนตรีคนไหนหรือกระทรวงไหนบกพร่อง ถ้าเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีรายกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง ทำให้เศรษฐกิจเดินไปข้างหน้าได้ นายกรัฐมนตรีก็ควรพิจารณา เพราะแม้อีก 7-8 เดือนจะมีการเลือกตั้งใหม่ มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล แต่ยังเป็นช่วงระยะเวลายาวนานพอสมควร ควรถึงเวลารัฐบาลต้องเอาเศรษฐกิจนำการเมืองแก้ไขปัญหาประเทศ เพราะตอนนี้มีปัญหาหลายอย่าง ทั้งภาวะเงินเฟ้อ ข้าวยากหมากแพง คนมีรายได้น้อยลง หนี้ครัวเรือนสูง และอีกหลายอย่างเกิดขึ้น เป็นประเด็นนายกรัฐมนตรีต้องนำมาพิจารณาว่าจะปรับหรือไม่ปรับคณะรัฐมนตรี” นายเศรษฐากล่าว

          จี้แก้ปากท้อง-ขึ้นดบ.ซ้ำเติม

          นายเศรษฐากล่าวว่า ปัญหาเร่งด่วนในขณะนี้อยากให้รัฐบาลเร่งแก้เรื่องปากท้อง ข้าวยากหมากแพง น้ำมันแพง น้ำมันแพงอย่างเดียวก็เป็นจุดเริ่มต้นของสินค้าแพงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคาอาหาร ค่าขนส่งปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเป็นเรื่องที่ประชาชนคอยอยู่ การอภิปรายไม่ไว้วางใจจบไปแล้ว แต่เศรษฐกิจของประเทศต้องเดินหน้าต่อไป

          นายเศรษฐายังกล่าวถึงกรณีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งสัญญาณจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปว่า อย่างที่เคยพูดไว้ว่าปัญหาของเงินเฟ้อมีอัตราค่อนข้างสูงเปรียบเทียบกับในอดีต เป็นเรื่องต้นทุนการผลิตสูงขึ้นมา ไม่ใช่เรื่องดีมานด์หรือความต้องการ ความสุรุ่ยสุร่าย เพราะฉะนั้นการขึ้นดอกเบี้ยเปรียบเสมือนการซ้ำเติมต่อต้นทุนการผลิตอย่างหนึ่งเหมือนกัน

          ”แบงก์ชาติก็ต้องคำนึงให้ดีว่า การขึ้นดอกเบี้ยจะช่วยสกัดเงินเฟ้อได้จริงหรือไม่ เพราะดอกเบี้ยถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งเหมือนกัน เมื่อดอกเบี้ยขึ้น ประชาชนก็ต้องแบกรับภาระเพิ่มขึ้น ส่วนที่นำคำอธิบายมาบอกว่า ถ้าไม่ขึ้นดอกเบี้ย เงินจะไหลออก ทำให้ค่าเงินบาทอ่อน ค่าเงินบาทอ่อนไม่ได้มีข้อเสียเสมอไป เพราะส่งผลดีต่อภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว ยิ่งเมื่อเปิดประเทศอย่างเต็มที่ โควิดกลายเป็นโรคประจำถิ่น ก็ต้องพิจารณาให้รอบคอบด้วย” นายเศรษฐากล่าว

          แนะขึ้นค่าแรงเพิ่มรายได้

          นายเศรษฐากล่าวว่า สำหรับการที่รัฐบาลจะพิจารณาปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้น ต้องมาดูว่าจริงๆ แล้วสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายและเงินเฟ้อได้จริงหรือไม่ ถ้าคุมไม่ได้ ในช่วงข้าวยากหมากแพงแบบนี้ ค่าแรงก็ต้องขึ้นไปด้วย เพื่อเพิ่มรายได้ให้ประชาชน แต่ก็ต้องดูแบบสมเหตุสมผล หลังโควิดคลี่คลาย คนทั่วโลกมีความต้องการเดินทาง การท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว ประกอบกับเงินบาทอ่อน ถือว่าเป็นจังหวะดี แสนสิริจะรุกธุรกิจโรงแรมมากขึ้น ภายใต้แบรนด์ใหม่ บังค์เฮาส์ (Bunkhouse) ในเมืองท่องเที่ยวเมืองรอง เป็นโรงแรมขนาดเล็กประมาณ 30-100 ห้อง ในเครือเดอะสแตนดาร์ดแสนสิริถือหุ้นอยู่ วันที่ 29 กรกฎาคมนี้ จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการของโรงแรมเดอะสแตนดาร์ด แบงค็อก มหานคร ขนาด 155 ห้องพัก ร่วมกับพันธมิตรคือ คิง เพาเวอร์ กรุ๊ป เป็นแห่งที่ 2 ในไทยต่อจากโรงแรมเดอะ สแตนดาร์ด หัวหิน เพิ่งได้รับการโหวตให้เป็นโรงแรมและรีสอร์ตที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเชียงใต้      

        

 

Reference: