ก่อสร้าง-อสังหา ขาดแรงงานแนะรัฐกรองต่างด้าวป้อนตลาด
บุษกร ภู่แส
กรุงเทพธุรกิจ
แม้รัฐบาลจะคลายล็อกดาวน์ และเตรียมเปิดประเทศตาม เป้าหมาย 120 วันของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจเดินหน้า! แต่ผลกระทบจากการ “ปิดแคมป์” คนงานก่อสร้างที่ผ่านมา ส่งผลให้ อุตสาหกรรมก่อสร้างรวมถึงอสังหาริมทรัพย์เผชิญภาวะ”ขาดแคลนแรงงาน” โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวที่เป็นกำลังสำคัญหายไป!
สาธิต สุดบรรทัด ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์ แผ่นบอร์ด อิฐมวลเบา คานทับหลัง เคาน์เตอร์มวลเบาสำเร็จรูปตราเพชร กล่าวว่า ทิศทางตลาดวัสดุก่อสร้างในไตรมาส 4 มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น หลังภาครัฐ ทยอยคลายมาตรการล็อกดาวน์ เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเดินหน้า ได้อีกครั้งพร้อมกับการเปิดประเทศ ถือเป็น ปัจจัยบวกต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และบรรยากาศการซื้อสินค้ามีความคึกคักมากขึ้น
”แต่ยังมีความเสี่ยงที่กดดันตลาด ซึ่งต้อง ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดคือปัญหาการขาดแคลนแรงงานก่อสร้างและด้านโลจิสติกส์การขนส่งสินค้าที่มีภาระต้นทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการวัสดุก่อสร้าง และร้านค้าจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ต้อง วางแผนบริหารจัดการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว” ปัญหาของบริษัทรับเหมาก่อสร้างในขณะนี้คือการขาดแคลนแรงงานในระบบ ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง และโครงการที่อยู่อาศัยทั้งแนวสูง และแนวราบต้องหยุดชะงัก!! จากปัญหาความไม่สมดุลในตลาดแรงงานเนื่องจากแคมป์ก่อสร้าง ส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มแรงงานต่างด้าว 70-80% ซึ่งผลกระทบจากการปิดแคมป์ก่อสร้าง ในช่วงที่ผ่านมาส่งผลเกิดปัญหาการ”ขาดแคลนแรงงาน” ไม่ต่ำกว่า 30-40% เนื่องจากแรงงานต่างด้าวที่ต้องเดินทางกลับประเทศไปต้นทางและยังไม่สามารถเดินทางกลับมาทำงานในประเทศไทยได้ และแรงงานบางส่วนกระจายต่างจังหวัด ยังไม่กลับมาสู่ตลาดแรงงานในกรุงเทพฯ และปริมาณฑล ซึ่งเป็นแหล่งงานหลัก ที่ต้องการจำนวนแรงงานจำนวนมาก
สาธิต ระบุว่า หากรัฐบาลต้องการเปิดประเทศและกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมา เติบโตอีกครั้ง รัฐบาลควรทำหน้าที่เป็น คนกลางในการคัดกรองหาแรงงานต่างด้าวที่ถูกกฎหมายและมีความปลอดภัย โดยได้รับการฉีดวัคซีน กลับเข้ามาในระบบเพื่อกระจายสู่อุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาฯ ที่กำลังอยู่ในภาวะการขาดแคลนแรงงาน เพราะเป็นหนทางเดียวที่ทำให้อุตสาหกรรมก่อสร้างที่เป็นกลไกหนึ่ง ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมาได้ เมื่อเกิดความสมดุลระหว่างแรงงานกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น
สำหรับ “ตลาดวัสดุก่อสร้าง” ปีนี้ คาดว่าจะเติบโตได้ดีกว่าปีก่อน แม้ช่วงต้นไตรมาส 3 ที่ผ่านมา จะได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์และปิดไซต์งานก่อสร้าง แต่เมื่อรัฐเริ่มผ่อนปรนมาตรการ แนวโน้มก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ ทำให้ในปลายปีนี้บรรยากาศการซื้อสินค้าจะคึกคักขึ้น
”แต่เราก็ไม่ประมาทเพราะยังมีความเสี่ยง ที่ต้องจัดการ เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะสามารถเอาชนะความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นได้”
ทั้งนี้ บริษัทวางแผนทำตลาดในไตรมาสสุดท้าย โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ตราเพชร ที่มีความหลากหลาย เข้าสู่ช่องทาง การจำหน่ายทั้ง 4 ช่องทาง ได้แก่ ร้านค้า วัสดุก่อสร้างรายย่อย ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ ลูกค้าโครงการ และตลาดต่างประเทศ เพื่อผลักดันยอดขายเติบโต 5% หรือ ปิดยอดขายมากกว่า 4,600 ล้านบาทตาม เป้าหมายปีนี้
คาดว่ากลุ่มลูกค้าโครงการอสังหาฯ แนวราบจะกลับเข้ามาทำตลาดมากขึ้น หลังจากครึ่งปีแรกชะลอตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด โดยครึ่งปีแรกบริษัทมียอดขาย 2,600 ล้านบาทเติบโต 7%
พร้อมกันนี้ บริษัทได้เดินหน้าโครงการ “ไดมอนด์ แวร์เอ้าส์” ในการผลักดันสินค้าสู่ช่องทางการขายและกระตุ้นให้ร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้างรายย่อย เพิ่มปริมาณสินค้าคงคลังให้เพียงพอต่อการขายในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ต่อเนื่องถึงไปจนถึงต้นปี 2565 เพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงด้าน โลจิสติกส์จากความไม่แน่นอนของโควิด-19 ที่อาจจะเกิดขึ้นจากเดิมให้น้ำหนักกับการขาย ผ่านโมเดิร์นเทรดเป็นหลัก นอกจากนี้ยังต่อยอดงานออกแบบจากการประกวดในปีที่ผ่านมาเพื่อพัฒนาเป็นร้านกาแฟสำเร็จรูป “ไดมอนด์ คาเฟ” เพื่อเป็นโชว์เคสที่โรงงานจังหวัดสระบุรี ให้ผู้บริโภคเข้ามามีประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์สินค้า และเป็นไอเดียสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนร้านกาแฟ ซึ่งมีพื้นที่ 5 ขนาด ตั้งแต่ 12-63 ตร.ม. ใช้งบลงทุน 18,000 บาท ต่อ ตร.ม. รองรับลูกค้าที่ต้องการจะเป็นเจ้าของธุรกิจร้านกาแฟ!!
Reference: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ