กสิกรฯ ชี้ศก.ปีหน้าโต ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยง

08 Dec 2021 528 0

          ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินเศรษฐกิจไทยปีหน้าโต 2.8-3.7% ระบุเศรษฐกิจโลกและไทยกลับมามีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นอีกครั้ง หลังเริ่มปรากฏการระบาดของไวรัสสายพันธุ์ Omicron ขณะที่เงินบาทมีแนวโน้มผันผวนในทิศทางอ่อนค่า จากนโยบายการเงินที่แตกต่าง เตือนธุรกิจรับมือต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นหลังเฟดมีแนวทางปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยชัดเจนขึ้น

          นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากการแพร่ระบาดของไวรัส Omicron จะขึ้นอยู่กับอัตราการแพร่เชื้อ ประสิทธิภาพของวัคซีน และความรุนแรงของโรค โดยแบ่งออกเป็น 2 กรณี ในกรณีดีนั้น แม้ไวรัสจะแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว แต่หากความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์ Delta และวัคซีนที่ใช้ในปัจจุบันสามารถลดหรือจำกัดระดับความรุนแรงของอาการป่วยได้ ไทยก็อาจไม่จำเป็นต้องมีการล็อกดาวน์ ดังนั้น เศรษฐกิจทั้งปี 2565 ก็ยังน่าจะสามารถฟื้นตัวได้ที่ 3.7% โดยยังได้รับแรงหนุนจากการส่งออก การฟื้นตัวของการใช้จ่ายครัวเรือน รวมถึงการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี ซึ่งภายใต้กรณีนี้แรงกดดันจากเงินเฟ้อยังเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ

          อย่างไรก็ดี ในกรณีแย่ที่สายพันธุ์ Omicron มีความรุนแรงเทียบเท่ากับสายพันธุ์ Delta และประสิทธิภาพของวัคซีนที่ใช้อยู่ในปัจจุบันลดลงอย่างมาก ส่งผลต่อความจำเป็นต้องมีการนำมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดในประเทศมาใช้ อาทิ ปิดประเทศ รวมถึงมาตรการล็อกดาวน์ในประเทศตามระดับความเสี่ยงของแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2565 ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 2.8% แต่ภายใต้สมมติฐานในกรณีแย่ สถานการณ์การแพร่ระบาดในภาพรวมก็ยังดีกว่าช่วงการแพร่ระบาดของสายพันธุ์ Delta ที่เริ่มในช่วงเดือน เม.ย. 64

          ”ขณะนี้เรายังมีข้อมูลของตัว Omicron ค่อนข้างน้อย คงต้องรอข้อมูลที่ชัดเจนในระยะต่อไป ดังนั้น ขณะนี้เราจึงให้น้ำหนักไปในทางดี หรือ Base Case ที่ 3.7% แต่หากเกิดกรณี เลวร้ายกว่าที่จะทำให้จีดีพีต่ำกว่าระดับที่ประเมินไว้ ก็จะมีการทบทวนกันอีกครั้งในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า และหากจีดีพีถูกกระทบจนกระทั่งอัตราการเติบโตต่ำกว่า 2.8% ก็คาดการณ์ว่าภาครัฐอาจจะใช้เงินกู้เพิ่มเติมจากปัจจุบันอีกประมาณ 2-3 แสนล้านบาท เพื่อบรรเทาผลกระทบซึ่งก็อยู่ในสถานะที่ทำได้”

          นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ ขยายความเพิ่มเติมในเรื่องผลกระทบต่อตลาดท่องเที่ยวไทยว่า ในกรณีดีนั้น จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2565 น่าจะฟื้นตัวมาแตะ 4 ล้านคน จากปีนี้ที่ประมาณ 3.5 แสนคน แต่สำหรับกรณีแย่ คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเหลือประมาณ 2 ล้านคน เพราะการท่องเที่ยวจะขาดช่วงไป 2-3 เดือน จากการที่ประเทศต่างๆ รวมถึงไทย จำเป็นต้องยกระดับการควบคุมการเดินทาง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หายไปทุกๆ 1 ล้านคน จะกระทบ รายได้จากการท่องเที่ยวราว 7-8 หมื่นล้านบาท ขณะที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในทั้งสองกรณีก็ยังถือว่าห่างไกลจากช่วงก่อนโควิดมาก

          ”ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยแม้ว่าจะเพิ่มขึ้นหลังมีการเปิดประเทศ แต่ก็ยังต่ำกว่าระดับ 40 ล้านคน ในช่วงก่อนโควิดฯ อีกทั้ง จากกรณี Omicron ก็อาจจะยังทำให้การเข้ามามีกฎเกณฑ์ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ดังนั้น ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยวจึงยังมีความเปราะบางและยังต้องการการดูแลและฟื้นฟูอยู่”

          สำหรับแนวโน้มภาคการเงินนั้น นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการ ผู้จัดการ มองว่า ในกรณีดีที่ผลกระทบจากไวรัส Omicron จำกัด ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดยังน่าจะทยอยลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงินตามแผน ซึ่งตลาดประเมินโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในปี 2565 ถึง 2-3 ครั้ง อันจะผลักดันให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ สูงกว่าไทยในช่วงปลายปี และย่อมจะเพิ่มแรงกดดันต่อค่าเงินบาทให้มีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบอ่อนค่าในช่วงครึ่งปีแรก ขณะที่ในกรณีแย่ การระบาดของไวรัส Omicron จะกระทบรายได้จากการท่องเที่ยวและดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย อันทำให้เงินบาทในช่วงครึ่งปีแรกขาดปัจจัยหนุนและอ่อนค่ากว่ากรณีแรก โดยมีโอกาสอ่อนค่าแตะ 34.25 บาทต่อดอลลาร์ แต่ไม่ว่าจะกรณีไหน ธุรกิจควรรับมือกับภาวะที่เงินบาทจะแกว่งตัวในกรอบกว้าง ดังในช่วงระหว่างปี 2564 ที่เงินบาทมีกรอบการเคลื่อนไหว (ระดับอ่อนค่าสุด-ระดับแข็งค่าสุด) กว้างถึง 4 บาทกว่า เทียบกับปี 2563 ที่กรอบประมาณ 3.40 บาท ขณะที่ แม้อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยจะยังไม่ปรับขึ้นในปี 2565 แต่แนวโน้มต้นทุนการกู้ยืมในตลาดตราสารหนี้ยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นต่อ และนักลงทุนรายย่อยไทยคงจะยังแสวงหาช่องทางการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง (Search for Yield)

          นางสาวธัญญลักษณ์กล่าวอีกว่า ปีหน้าโจทย์เรื่องอัตราเงินเฟ้อจะเป็นโจทย์ของทุกธนาคารกลาง โดยเฉพาะธนาคารกลางหลักอย่าง เฟดซึ่งหากในปีหน้าผลกระทบจาก Omicron ไม่มากเศรษฐกิจยังฟื้นตัวดี การจ้างงาน การว่างงานดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และเฟดมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเกินกว่า 2 ครั้ง ก็จะเริ่มเป็นแรง กดดันต่อการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยของธนาคาร แห่งประเทศไทย(ธปท.) มากขึ้นในช่วงปลายปีหน้า

          ส่วนธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไทยปี 2565 นั้น เป็นอีกปีที่คงขับเคลื่อนด้วยความระมัดระวัง เพราะสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยมองสินเชื่อขยายตัวในกรอบคาดการณ์ 4.0-5.5% ซึ่งชะลอลงจากปี 2564 ที่สินเชื่อขยายตัวแตะระดับ 6.0% ซึ่งดีกว่าคาด เพราะธุรกิจสะสมสภาพคล่อง และมีผลของมาตรการช่วยเหลือทางการเงิน ขณะที่เอ็นพีแอลยังเป็นขาขึ้น เข้าหาระดับประมาณ 3.30% ต่อสินเชื่อรวม ณ สิ้นปี 2565 เทียบกับราว 3.20% ณ สิ้นปี 2564 ซึ่งแม้จะถือว่าเพิ่มขึ้นไม่มากเพราะยังมีอานิสงส์ของการผ่อนปรนเกณฑ์การจัดชั้นหนี้ของ ธปท.อยู่ แต่ธนาคารพาณิชย์คงไม่ได้ผ่อนระดับการตั้ง สำรองฯ ลงมากนัก อันมีส่วนทำให้ระดับความสามารถในการทำกำไรของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในปี 2565 ยังไม่เข้าใกล้ระดับก่อนวิกฤต โควิด

Reference: